ตอนที่ 8-2 ต่างคนต่างอยู่

1679 Words
สิ้นคำถาม เขายืนอึ้งไปทันที ตื่นตกใจเล็กน้อย สีหน้าอึดอัดลำบากใจ เพราะไม่คิดว่าจะโดนเธอถามตรงๆ เช่นนั้น “ก...ก็...คนคุยไง” “คนคุยอะไรกัน แต่เราได้กันแล้วนะคะ มันมากกว่าคนคุยแล้ว พี่ไม่รู้เหรอ หรือพี่แค่หลอกฟันพราวอย่างที่พี่พูด พี่เห็นพราวเป็นแค่ของเล่นสำหรับพี่ใช่ไหม” “พี่ไม่ได้หลอกฟันพราว พี่ไม่เคยคิดแบบนั้น!!” เสียงเข้มตวาดดังขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ร้อนรนในหัวใจเมื่อเธอได้พูดในสิ่งที่เขาคิดร้ายไม่ดีกับเธอ ทั้งคำพูดทั้งแววตาล้วนหนามคมราวกับเข็มนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจของเขาเวลานี้ “ที่ผ่านมาพี่คิดว่าพราวโง่มากใช่ค่ะ ที่ทำตัวง่ายๆให้พี่หลอกฟันเล่น พราวอยากถามว่าแล้วหลายวันที่ผ่านมานี้คืออะไรคะ พี่หลบหน้าพราว ทำตัวห่างเหิน ไม่ค่อยทักหา ไลน์ไปก็ไม่ตอบ ดองไลน์ตอบช้า ทักเช้าตอบเย็น หรือบางทีไม่อ่านไม่ตอบเลย เคยรอพราวกลับบ้านด้วยพี่ก็หายไป ให้พราวนั่งรอเก้ออยู่คนเดียว ทำอะไรก็ไม่บอกพราว ไม่เคยให้เกียรติกัน พี่เล่นกับความรู้สึกคนสนุกมากไหมคะ แต่พราวไม่สนุกด้วยหรอกนะ เชิญพี่ไปสนุกกับคนอื่นเถอะค่ะพราวไม่อยากเสียเวลากับพี่อีก” พูดจบ เธอก็สะบัดตัวหนี หมุนตัวจะเดินกลับเข้าออฟฟิศ แต่ถูกเขาคว้าตัวดึงรั้งไว้ให้หันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา “ไม่! พราว! พี่ยังไม่ให้ไป เรายังคุยไม่จบเลย พราวจะเดินหนีพี่ทำไม” “เราคุยจบแล้วค่ะ ในเมื่อพี่ได้ทุกอย่างที่พี่อยากได้แล้ว ตัวพราวพี่ก็ได้ ใจพราวพี่ก็ได้ไป พราวไม่มีอะไรจะให้อีกแล้ว ที่สำคัญพราวไม่อยากทนฟังคำโกหกพี่อีก ถึงพี่พูดอะไรออกมามันก็แค่คำโกหกไม่จริงใจทั้งนั้น แล้วพราวจะฟังพี่ทำไม” ภาคิณยืนอึ้งไปชั่วขณะมือที่กำรอบแขนเธอแน่นขึ้น หัวใจที่เหมือนถูกกระชากขาดออกจากตัวทำให้เขานิ่งงันทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกบางอย่างกู่ร้อง ไม่ยินยอมที่จะเสียเธอไป ไม่มีวันเด็ดขาด อย่างน้อยๆก็ไม่ใช่เวลานี้ ชั่วโมงนี้ ตอนนี้ “เพราะที่พราวคิดมันผิดทั้งหมดน่ะสิ พี่ไม่ได้คิดที่จะเล่นสนุก หรือเล่นกับความรู้สึกพราวเลยนะ พี่ไม่ได้จะหลอกพราว แต่พี่มีเหตุผลของพี่” “เหตุผลอะไรคะ” ภาคิณนิ่งไม่ตอบ มองหน้าเธออยู่ชั่วอึดใจ ใช้ความคิด ก่อนจะตัดสินใจอุ้มเธอขึ้นไปนั่งในรถทันทีไม่สนใจว่าเธอกรีดร้องโวยวายแค่ไหน “พี่คิณณ์!! หยุดเดี๋ยวนี้นะ ปล่อยพราว พราวจะลงจากรถ!!” ภาคิณผลักเธอให้เข้าไปนั่งเบาะข้างคนส่วนเขาก็รีบกระโดดขึ้นรถปิดประตู ล็อคเรียบร้อย พร้อมกับคว้าข้อมือเธอไว้ไม่ให้กระโดดหนีลงไประหว่างที่เขาจะสตาร์ทรถ “พี่คิณณ์!! พราวบอกให้ปล่อย! พราวจะลง!!” เสียงเล็กตวาดลั่น พร้อมกับถีบตัวเองหนี ในขณะที่เขาก็จับยึดเธอไว้แน่น พูดเสียงดังใส่ หน้าตาดุดันเอาเรื่อง “ไม่!! จนกว่าเราจะคุยกันให้รู้เรื่องก่อน” “คุยอะไรอีก! ที่พูดมาทั้งหมดมันยังไม่พอใช่ไหม พี่ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ” “ไม่!! พี่ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น!!” เขาตวาดเสียงดังกลับ ด้วยอารมณ์โกรธและอยากเอาชนะเธอเท่านั้น รถสัญชาติญี่ปุ่นสีดำขับด้วยความเร็วที่สูงกว่าปกติเล็กน้อย เขาขับมาเรื่อยๆโดยไม่สนใจหันไปมองว่าเธอจะทำสีหน้าไม่พอใจขนาดไหน เสียงโทรศัพท์ ที่ดังขึ้นก็ถูกปล่อยทิ้งไว้แบบนั้น โดยเฉพาะของเธอที่เขาถือยึดไว้กับตัวไม่ยอมคืนให้เธอที่โวยวายต่อว่าเขาจนเหนื่อยและหยุดไปเอง จนเมื่อเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่เขาวางไว้ตรงตำแหน่งเกียร์ ปรากฏ ชื่อ ‘N’แจน’ เด่นหราปรากฏบนหน้าจอ โดยที่เขาไม่คิดที่จะกดรับสาย หญิงสาวชำเลืองเม้มปากแน่นน้ำตาเคลือบคลอหน่วย ก่อนจะหันหน้าหนีออกไปนอกรถ ไม่อยากมองอยากเห็นอีก สะบัดมือที่เขาเกาะกุมไว้แน่นออกมากอดอกตัวเอง ภาคิณขับพามาไกลถึงหัวหิน เขาเลี้ยวรถที่จะเข้าไปจอดในโรงแรมดัง แต่คำพูดจากหญิงสาวข้างกายที่นั่งเงียบมาตลอดทางทำให้เขาชะงักอึ้งไปทันที “พราวเกลียดพี่คิณณ์ ถ้าพี่คิดจะทำอะไรพราวอีก พราวจะไม่มีวันให้อภัยพี่อีกเลย” น้ำเสียงเย็นชา นัยน์ตาเต็มไปได้ความเจ็บปวด สบตาเขานิ่งแน่วแน่จนเขานึกหวั่น หันเหพวงมาลัยขับเลยประตูทางเข้าจอดรถหลบเข้าข้างทางทันที “พี่แค่จะพาพราวมาทานข้าว” “พาพราวกลับกรุงเทพเดี๋ยวนี้ค่ะ” น้ำเสียงเด็ดเดี่ยว สายตาเย็นชา มันยิ่งทำให้เขารู้สึกเย็นไปทั้งแผ่นหลัง “พี่แค่อยากให้พราวใจเย็น ฟังพี่สักนิดได้ไหม” เธอไม่ตอบแต่กลับนั่งหลังตรง กอดอกมองไปข้างหน้าและไม่หันมามองหน้าเขาอีก จนภาคิณอึ้งและทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่เคยอยู่ในสภาวการณ์เป็นรองกับผู้หญิงคนไหนมาก่อน ตัดสินใจขับรถตรงไปเรื่อยๆ ไปจอดที่ริมทางบริเวณหน้าชายหาด ที่ค่อนข้างไกลผู้คนเล็กน้อย “พราว” “พี่รู้ว่าพราวโกรธพี่...แต่พี่แค่อยากให้พราวอารมณ์ดีขึ้น ลงไปเดินเล่นข้างนอกสักยี่สิบนาทีไหม เพื่อพราวจะรู้สึกดี แล้วเราค่อยกลับกัน” เขาพยายามตั้งสติ ไม่อยากให้อารมณ์ตัวเองทำร้ายเธอมากไปกว่านี้ เพราะความอยากเอาชนะ จึงคิดที่จะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ใช้วิธีที่เขาถนัดและเคยใช้มันได้ทุกครั้ง แต่ความหวาดกลัวบางอย่างที่มันไม่เคยเกิดกับขึ้นใครมาก่อน ความรู้สึกที่เรียกว่าความกลัว กลัวว่าจะเสียเธอไปจริงๆ มันกู่ร้องให้เขาหยุดทุกอย่างที่มันจะยิ่งทำให้แย่ลงมากไปกว่าเดิม ภาคิณไม่คิดที่จะเซ้าซี้อะไรเธออีก เขาเลือกที่จะลงจากรถ พับขากางเกงขึ้น ถอดรองเท้าวางไว้ด้านข้างของรถ เดินลุยพื้นทรายไปยังชายหาด หยุดมองท้องทะเลเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด ตระหนักแล้วว่าอารมณ์ที่เขาเป็นวันนี้ ทั้งใจร้อน อยากเอาชนะ มันทำให้เขารู้สึกแบบไหน และมันยิ่งทำให้เธอเกลียดเขามากขึ้น ในขณะที่พริบพราวเอง นั่งมอง จ้องแผ่นหลังหนา ร่างสูงใหญ่ที่ยืนไกลออกไป ด้วยความรู้สึกโกรธในสิ่งที่เขาทำ มันยิ่งทำให้เธอนึกรู้สึกรังเกียจตัวเองมากขึ้น โทษตัวเองที่โง่เขลาเบาปัญญา หลงรักหลงชื่นชมเขาอยู่ได้เป็นนานหลายปี หลงเพราะหน้าตา เพราะความหล่อเหลาของเขาที่เอามากินหรือใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลยสักนิด เขามองเห็นเธอเป็นเพียงแค่วัตถุของเล่นที่คิดอยากได้ ก็ใส่ใจดูแล แต่พอสุขสมหวังก็คิดจะทิ้งขว้างราวกับของเล่นไร้ค่า ไร้ราคา ในเมื่อเขาคิดแบบนั้นเธอก็หมายมั่นไว้แล้ว ถ้าเขามองเธอเป็นแค่ของเล่น! เธอก็จะเป็นของเล่นราคาแพงที่เขาไม่มีวันที่จะได้ไปครอบครองอีก!! เวลาผ่านไปหลังจากวันนั้นเธอก็ไม่คิดสนใจที่ว่าเขาจะทำอะไรที่ไหน ในขณะที่เขาเองก็พยายามที่จะเข้ามาอยู่ในสายตาเธอตลอด เดินเข้าออกห้องทำงานที่เธอกำลังทำงานอยู่บ่อยครั้งระหว่างวันทั้งที่เมื่อก่อนไม่คิดที่จะเข้ามาเลยสักครั้ง หรือแม้กระทั่งช่วงพักเที่ยง ที่หลังๆเธอมักจะซื้อข้าวเข้ามาทานที่ห้องแคนทีน หรือที่โต๊ะทำงาน เขาก็สั่งอาหารมานั่งทานในห้องเดียวกันกับเธอ แต่สิ่งเดียวที่เขาได้รับคือสายตาเย็นชาที่มองผ่านเขาไป ทำกับเขาเป็นเพียงอากาศธาตุไร้ตัวตน พริบพราวทำงานที่ได้รับผิดชอบเสร็จเรียบร้อย ก็เตรียมตัวที่จะกลับบ้าน เพราะพรุ่งนี้เช้าจะต้องมารีบช่วยพี่อ้อมประสานงานตั้งแต่ตีห้า เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำให้รู้ว่าเคเซียที่ทำหน้าที่เป็นสารถีรับส่งเธอช่วงนี้ขับรถมาใกล้เลี้ยวเข้ามาในซอยแล้ว เธอจึงคว้ากระเป๋าและสัมภาระบางอย่างถือติดมือออกไปด้วย “เอ่อคุณพราวครับ” “คะพี่ยาม มีอะไรกับพราวหรือเปล่าคะ” เธอหันมาตามเสียงเรียก เห็นพี่ยามกำลังจดจ้องๆมาที่เธอ ก่อนจะเดินตรงเข้ามาหาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ “พอดีคุณภาคิณสั่งเอาไว้ ว่าถ้าคุณพราวจะให้กลับบอกให้รอด้วยน่ะครับ คุณภาคิณจะไปส่งคุณพราวกลับบ้านครับ” หญิงสาวได้ยินแล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เม้มริมฝีปากแน่นใช้ความคิดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ ฝากบอกเขาด้วยนะคะ ว่าพราวมีปัญญาหาทางกลับเองได้ ไม่ลำบากเขาหรอกค่ะ” “เอ่อ...แต่ว่า” พี่ยามได้ยินคำตอบแล้วถึงกับหน้าเสีย สีหน้าอึกอัก ลำบากใจทันที “พี่ยามไม่ต้องกลัวเขาจะไล่ออกหรอกนะคะ เรื่องแค่นี้เอง เขาไม่กล้าไล่หรอกค่ะ พราวไปก่อนนะคะ เพื่อนพราวมารับแล้ว” เธอส่งยิ้มหวานให้อีกครั้งก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่ขับมาจอดเทียบหน้าประตูบริษัททันที ท่ามกลางสอดรู้สอดเห็นของใครหลายคนที่มองมาด้วยความสนใจ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD