วันนี้เป็นวันแรกของการเปิดเทอม…
ฉันตื่นเช้ามาพร้อมกับเสียงรถยนต์บนถนนใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลจากหอพัก สะท้อนความวุ่นวายของเมืองหลวงอย่างชัดเจน นี่คือครั้งแรกที่ฉันต้องใช้ชีวิตคนเดียว…ในเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครคุ้นหน้า ไม่มีใครเรียกชื่อจิกหัวว่า “อีแบม” แบบที่บ้าน
ฉันกวาดตามองไปรอบ ๆ ห้องที่แม้จะเล็ก แคบ และเก่าไปสักหน่อย แต่ก็ถูกจัดเรียงข้าวของให้ดูเป็นระเบียบอย่างดีที่สุดแล้ว ฉันแปะโปสเตอร์ธรรมดา ๆ กับพัดลมตัวเก่าที่เพิ่งเช็ดฝุ่นเมื่อคืน ทำให้ห้องนี้ดูอบอุ่นขึ้น แม้จะไม่ได้สวยเหมือนห้องคนอื่นๆ แต่มันก็คือพื้นที่ปลอดภัยของฉัน…อย่างน้อยก็พออยู่ได้
เสียงนาฬิกาปลุกบนมือถือดังเตือนเวลา
“อีก 40 นาทีต้องถึงคณะ”
ฉันรีบลุกไปแต่งตัวอย่างรวดเร็ว เพราะได้ยินมาว่าคณะที่ฉันเรียน วิศวกรรมศาสตร์ ขึ้นชื่อเรื่องระบบรับน้องที่ “โหดสมชื่อ” ถ้ามาสายแม้แต่นาทีเดียว ก็อาจโดนทำโทษหรือถูกมองเป็นเด็กไม่มีความรับผิดชอบทันที
ขณะที่รูดซิปกระเป๋าเป้ ฉันก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ …
“สู้เว้ยแบมแบม เมืองกรุงยังไม่รู้จักเรา เราก็จะไม่ยอมแพ้มันเหมือนกัน”
-มหาลัย-
เสียงรองเท้ากีฬาเสียดสีกับพื้นปูนซีเมนต์ดังเป็นจังหวะขณะฉันรีบเดินเข้าไปยังลานหน้าคณะ ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของเหล่านักศึกษาปีหนึ่งที่ต่างยืนรวมกลุ่มกัน
ฉันมองไปรอบ ๆ ด้วยความรู้สึกประหม่า ไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปทักใครก่อนดี
เมื่อฉันมองไปรอบ ๆ ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าป้ายลงทะเบียนคณะวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ตัวเล็ก น่ารัก ใบหน้าดูเป็นมิตรแบบที่ทำให้รู้สึกอยากเข้าไปคุยด้วย
ฉันรีบเดินไปต่อแถวลงทะเบียนข้างเธอ ก่อนจะเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูนิ่งและมั่นใจ
“นี่…ปีหนึ่งเหมือนกันใช่ไหม?”
เธอหันมามองเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มให้บาง ๆ แล้วตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
“ใช่ ฉันน้ำหวานนะ”
“แบมแบม” ฉันตอบสั้น ๆ พลางเสริมอย่างไม่คิด
“ฉันไม่ค่อยชอบคุยเท่าไร แต่เธอดูหน้าไว้ใจดีเลยเดินมาทักอะ”
พูดจบก็อยากตบปากตัวเองสักที มันหลุดไปได้ยังไงกันนะประโยคแบบนั้น? จริง ๆ แล้วฉันแค่อยากดูเข้มแข็ง ดูแรงเข้าไว้ เพราะไม่อยากให้ใครมองว่าอ่อนแอ แต่มันดันออกมาดูงุ่มง่ามแทนซะนี่
“เอ่อ…ขอบคุณ?”
น้ำหวานหัวเราะแห้ง ๆ นิดหน่อย ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจว่าควรรู้สึกยังไงกับคำพูดของฉัน
และยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรต่อ เสียงอีกเสียงก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง…
“โอ๊ยยยยย! แถวนี้คนหน้าตาดีเพียบเลยว่ะ!!”
เสียงตื่นเต้นของผู้หญิงคนหนึ่งดังแทรกขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มสดใสและท่าทางร่าเริงที่ทำให้คนรอบข้างต้องหันไปมอง
“ฉันนุ่นนะ เธอล่ะ?”
“เราน้ำหวาน” น้ำหวานหันไปตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะได้ไปไกลนัก ก็มีอีกคนเดินเข้ามาเพิ่ม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น แบบที่ดูออกเลยว่าพร้อมมีเรื่องหรือสร้างสีสันได้ทุกเมื่อ
ไม่กี่นาทีต่อมา ฉันก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนใหม่สามคน น้ำหวาน นุ่น และแจม
แจมเป็นเด็กสาวผมสั้น แววตาคมกริบแบบจิกได้ใจ ยิ้มเจ้าเล่ห์พลางโพล่งขึ้น
“โอเค! แก๊งนี้ท่าจะมันส์ว่ะ!”
พูดจบก็โอบคอพวกเราทุกคนอย่างสนิทสนม ทั้งที่เพิ่งเจอกันไม่ถึงสิบนาที
มันดูเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ลงตัวสักเท่าไหร่ หนึ่งคนเงียบ ๆ แบบฉัน หนึ่งคนใจดีอย่างน้ำหวาน หนึ่งคนสายแซ่บอย่างแจม และนุ่นที่ดูเหมือนสายฮาประจำกลุ่ม แต่แปลกที่ฉันกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ในชีวิตของฉันที่ผ่านมา แทบไม่เคยมีคำว่า “เพื่อน” อยู่ในพจนานุกรมเลย ด้วยฐานะบ้านที่จน พ่อที่ติดพนัน และแม่ที่ขายของพอประทังชีวิต คนรอบข้างมักเลือกที่จะมองข้ามฉันไปเสมอ
แต่วันนี้…แค่วันแรกของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองกรุง ฉันกลับได้พบผู้หญิงสามคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่า บางทีชีวิตมหาลัย อาจไม่โดดเดี่ยวอย่างที่คิดก็ได้
หลังจากพวกฉันลงทะเบียนเสร็จ ก็คาบเรียนแรกเลยทันที โชคดีที่เป็นวันเปิดเทอมวันแรก อาจารย์ยังไม่ได้เริ่มสอนจริงจัง ส่วนใหญ่ก็พูดแนะนำตัว พูดภาพรวมของรายวิชา และพ่นศัพท์วิชาการที่ฟังแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ฉันนั่งฟังไปพลาง เหลือบตามองรอบห้องก็เห็นน้ำหวานหาวหวอดอยู่ข้าง ๆ พยายามจะไม่หลับจนตาแทบปิด ส่วนเพื่อนร่วมชั้นคนอื่น ๆ ก็มีทั้งคุยกันเอง ก้มหน้าเล่นมือถือ หรือไม่ก็เหม่อออกหน้าต่าง
จนกระทั่ง…เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น
พักเที่ยง!
ฉันกับกลุ่มเพื่อนใหม่รีบคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องทันที ยังไม่ทันตกลงกันว่าจะกินอะไรดี เสียงเข้ม ๆ แบบห้าว ๆ ก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“เฮ้! พวกมึง ขอไปกินข้าวด้วยดิ กูเมย์!”
พวกเราหันไปตามเสียง ก็เจอเด็กสาวอีกคนเดินเข้ามา รูปร่างสูงเพรียว ผมรวบตึง แต่งตัวเรียบง่าย แต่ท่าทางมั่นใจจนเหมือนหลุดมาจากหนังแนว coming-of-age แบบไทย ๆ ที่มีตัวละครสายโหดอยู่เสมอ
“ได้สิ! มาเลย กำลังจะไปพอดี” นุ่นเป็นคนตอบกลับด้วยท่าทีร่าเริงเต็มสูบ
“แกภาคคอมใช่มั้ย?” แจมหรี่ตาถามกลับ พลางจ้องเมย์เหมือนกำลังสแกนใบหน้า
“อือ ห้องเดียวกับพวกแกเลยมั้ง เห็นหน้าคุ้น ๆ” เมย์ตอบอย่างไม่แคร์โลก ก่อนจะเดินแทรกเข้ามาเดินเคียงข้างพวกเราอย่างกับสนิทกันมานาน
เมื่อเดินมาถึงศูนย์อาหารกลางของคณะ ภาพแรกที่เห็นคือ…
คน. เยอะ. มากกกก
“โห คนเยอะฉิบหาย จะมีโต๊ะให้นั่งมั้ยเนี่ย…” นุ่นบ่นพลางเอามือพัดหน้าตัวเอง
“เออ แล้วนี่มันร้อนอะไรขนาดนี้วะ มหาลัยมีหลังคาก็เหมือนไม่มี” เมย์เสริมเสียงเหนื่อยตามมา
“เอางี้ เดี๋ยวกูโทรหาพี่กูก่อน เผื่อเขาอยู่แถวนี้แล้วจองโต๊ะไว้ให้” แจมพูด พลางควักโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์ทันทีอย่างมีความหวัง
ฉันหันไปสบตากับน้ำหวานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก่อนจะกระซิบเบา ๆ อย่างงง ๆ
“แจมมันมีพี่ชายอยู่คณะนี้ด้วยหรอวะ?”
น้ำหวานเลิกคิ้วนิดหนึ่งแล้วตอบแบบไม่แน่ใจ
“ไม่รู้ดิ มึงกับกูก็เพิ่งรู้จักมันตอนเช้านี้เองป่ะ…”
ฉันหัวเราะในลำคอเบา ๆ แล้วพึมพำกับตัวเอง
“แก๊งเรานี่น่าสงสัยกันทุกคนเลยนะ…”
ก่อนจะเผลอยิ้มมุมปากแบบเจ้าเล่ห์…เหมือนกำลังรอดูว่าเรื่องวุ่นวายอะไรจะตามมาอีกในอนาคต
หลังจากแจมคุยโทรศัพท์เสร็จ เธอก็หันมาบอกข่าวดีกับพวกเราด้วยใบหน้าระรื่น
“พี่กูบอกว่าวันนี้คนเยอะ เปิดเทอมวันแรก โต๊ะเลยเต็มหมด แต่เขาจองโต๊ะไว้แล้ว ไปนั่งโต๊ะพี่กูกันเถอะ”
น้ำหวานขมวดคิ้วนิดหน่อย “จะดีเหรอวะ พวกกูไม่รู้จักพี่มึงเลยนะ…”
แจมหันกลับมาพร้อมยักไหล่เล็กน้อย “กลัวเหี้ยอะไรล่ะ พี่กูก็เหมือนพี่พวกมึงแหละน่า”
จากนั้นก็ยักคิ้วอย่างกวน ๆ แล้วเสริม “ว่าไง จะแดกมั้ย ข้าวอ่ะ?”
“แดกดิ หิวข้าวจะตายอยู่แล้ว!” ฉันโพล่งขึ้นทันที พลางเดินนำไปด้วยสีหน้าเอือมระอากับความร้อน
“เหี้ย…แค่แดดก็จะละลายแล้วอะ” เมย์เสริมเสียงเครียด พลางยกมือบังแดดแบบสุดชีวิต
พวกเราเดินลัดเลาะหลบผู้คนในโรงอาหารอย่างชำนาญผิดกับที่เพิ่งเข้ามหาลัยวันแรก
จนในที่สุด แจมก็ชี้ไปยังโต๊ะยาวใกล้ ๆ มุมพัดลมตัวใหญ่
มีผู้ชายสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว คนหนึ่งก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ อีกคนกำลังจิบโค้กจากแก้วพลาสติกใส
“พี่แทนไท!” แจมตะโกนเรียกเสียงดังเมื่อเห็นพี่ชายตัวเอง ก่อนจะกวัดมือให้เพื่อน ๆ เดินตามเธอมา
ชายหนุ่มที่นั่งจิบโค้กเงยหน้าขึ้น พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “นึกว่าจะหาไม่เจอแล้ว”
“ก็เกือบไม่เจอจริง ๆ คนเยอะมากกก คนสวยจะเป็นลมค่ะ…” แจมบ่นพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างหมดแรง
“อืม ๆ นั่งก่อน ๆ น้อง ๆ ก็นั่งด้วยเลย” แทนไทผายมือเชิญ ก่อนจะชี้ไปยังเพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
“นี่เพื่อนพี่ ไทเกอร์กับเจเจ”
ทั้งสองชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นและพยักหน้าน้อย ๆ เป็นเชิงทักทาย
ไทเกอร์ดูนิ่งขรึมในเสื้อเชิ้ตแขนยาวพับถึงศอก สายตาคมเข้มแบบไม่ต้องพยายาม
ส่วนเจเจยิ้มกว้าง ในลุคขี้เล่น ขยิบตาให้พวกเรานิด ๆ อย่างเป็นกันเอง
“หน้าดีเกินเบอร์…” นุ่นกระซิบเบา ๆ ข้างฉัน เหมือนอ่านใจฉันออก
แต่ที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนหายใจติดขัดไม่ใช่พวกเขา
แต่คือเขา คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉันนี่สิ…
ฉันจำเขาได้…แม้จะเห็นแค่แวบเดียวเมื่อวันก่อน แต่แววตานิ่ง ๆ แบบนั้นไม่มีวันลืม
เขานั่งเงียบ ไม่พูดอะไร หน้าตาขาวจัด ตาชั้นเดียว ผมสีน้ำตาลเข้มเซตไว้พองาม
เสื้อเชิ้ตแขนยาวพับขึ้นจนเห็นแขนขาว ๆ ที่มีรอยสักบาง ๆ โผล่พ้นชายแขนเสื้อ กับนาฬิกาสายเหล็กที่ดูแพงแบบไม่โอ้อวด
เขาเหลือบตามามองฉันแวบนึง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปยังข้าวในจานอย่างไม่แสดงอาการใด ๆ
แต่แค่นั้น…ก็ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล
เสียงพูดคุยบนโต๊ะยังดังต่อเนื่อง ทุกคนดูจะเข้ากันได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันวันนี้แท้ ๆ
แต่ฉันนี่สิ…อึดอัดชะมัด
รู้มั้ยทำไม?
ก็เพราะตอนนี้ เขา เหมือนเริ่มหันมามองฉันบ่อยขึ้น บ่อยจนฉันเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
เหมือนเขาเพิ่งนึกออกว่าเราเคยเจอกันมาก่อน หรืออาจจะกำลังพยายามทบทวนอะไรบางอย่างเกี่ยวกับฉันอยู่
สายตาของเขา…นิ่ง เรียบ แต่จ้องตรงมาแบบไม่กระพริบ
คนถูกมองแบบฉันจะไม่ให้อึดอัดได้ยังไงล่ะ?
ฉันหลบตาทุกครั้งที่เขามองมา พยายามทำเป็นตั้งใจฟังบทสนทนาของคนอื่นแทน แต่ก็ทำไม่ได้เต็มร้อย
หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนเด็กโดนจับได้ว่าทำผิด
ฉันแอบขมวดคิ้วนิด ๆ แล้วพึมพำในใจ…
“นี่เขาเป็นอะไรกันแน่วะ จำได้จริง หรือแค่เผลอมองเฉย ๆ?”
จนสุดท้าย…ฉันทนไม่ไหวจริง ๆ
บรรยากาศตรงนั้นมันอึดอัดเกินไปสำหรับฉัน โดยเฉพาะสายตาของ เขา ที่ยังไม่เลิกจ้อง
ฉันเลยเลือกที่จะลุกหนีมันซะเลย
“งั้นเดี๋ยวกูกับนุ่นไปสั่งข้าวให้แล้วกัน พวกมึงจะเอาไร?”
ฉันพูดขึ้นพลางลุกขึ้นยืน ปัดกระโปรงนักศึกษาที่ติดขาเบา ๆ
“กูเอากะเพราหมูสับไข่ดาวละกัน ง่าย ๆ”
น้ำหวานตอบเสียงเรียบเหมือนรู้อยู่แล้วว่าจะกินอะไร
“กูเอาด้วย ไม่รู้จะกินไร” แจมเสริมทันทีแบบไม่ต้องใช้เวลาเลือก
“กูด้วย” เมย์ยกมือตามมาติด ๆ
“โอเค ๆ ไม่เอาอะไรเพิ่มใช่ป่ะ?”
ฉันถามย้ำ ทุกคนก็พากันส่ายหน้าเป็นคำตอบ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสั่งอะไรเพิ่มเติม ฉันกับนุ่นก็พยักหน้ารับ ก่อนจะเดินแยกตัวออกจากโต๊ะ ท่ามกลางกลิ่นอาหารที่เริ่มลอยฟุ้งไปทั่วโรงอาหารในช่วงพักเที่ยง
หลังจากฉันกับนุ่นเดินตะลุยฝ่าฝูงคนในโรงอาหารจนได้ข้าวครบทุกจาน เราก็รีบเดินกลับไปที่โต๊ะทันทีเพราะกลัวเพื่อนหิวกันจนเป็นลม
แต่พอฉันกับนุ่นเดินกลับมาถึงโต๊ะ ก็ต้องชะงักเล็กน้อย…
เพราะตอนนี้มีคนแปลกหน้าเพิ่มเข้ามาอีกสองคน
“ไอ้แบมกับนุ่นก็มาพอดีเลย” เมย์เงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วหันกลับไปจัดจานข้าวตรงหน้า
“เออ นี่เพื่อนพี่ ชื่อหมอกกับกองทัพ” พี่แทนไทพูดขึ้น ก่อนจะผายมือไปทางสองหนุ่มที่เพิ่งมาถึง
“ส่วนนี่น้องกู แจม” เขาชี้ไปยังแจมที่กำลังนั่งกินข้าวแบบไม่สนใจโลก
“แล้วก็…”
ยังไม่ทันพี่แทนไทจะพูดจบ แจมก็รีบแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่แอบเก้อเขินเล็ก ๆ
“อ่อ! นี่แบมแบม เมย์ นุ่น แล้วก็น้ำหวานค่ะ” เธอรีบแนะนำเพื่อนใหม่ของตัวเองแทบจะทันที ราวกับกลัวพี่ชายจะพูดอะไรออกมาเกินกว่าเหตุ
ฉันเผลอยิ้มนิด ๆ กับท่าทางของแจม ขณะที่สายตาของทุกคนบนโต๊ะก็หันมามองพวกเราโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะ “เขา” คนนั้น
พี่ไทเกอร์…
ดวงตาคม ๆ คู่นั้นมองมาทางฉันนานกว่าที่ควรจะเป็นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเบือนสายตาไปทางจานข้าวตรงหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ฉันรู้…
รู้ว่าเขาจำฉันได้แล้วแน่ ๆ