6 เดือนที่แล้ว
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
โมริ..หญิงสาววัยสะพรั่ง แต่งตัวด้วยชุดเดรสรัดรูปสีดำสวมทับด้วยเสื้อโค้ทยาวสีชมพู ปล่อยผมลอนสีน้ำตาลสยายยาวถึงกลางหลัง ใส่รองเท้าบูทยาวสีดำ ด้วยความสูงดของเธอเพียง 160 เซนติเมตรและน้ำหนักเพียง 45 กิโลกรัม ทำให้หุ่นของเธอนั้นสวยแบบไร้ที่ติ บวกกับใบหน้าเรียวไข่ ตากลมโตสีดำ ริมฝีปากบางสีชมพู จมูกโด่งเข้ากับใบหน้าและผิวขาวราวกับกระดาษนั้น ทำให้เธอกลายเป็นจุดเด่นทุกการก้าวเดินตลอดเวลา เธอเดินออกมาจากสนามบินเพื่อเรียกแท็กซี่เดินทางกลับไปยังบ้านเกิดของเธอ หญิงสาวใช้ชีวิตในต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้เธอนั่นมีลักษณะนิสัยลุยๆ ร่าเริง กล้าหาญ ไม่กลัวใคร ชอบเฮฮา ปาร์ตี้ เข้าสังคม ชอบการท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ อย่างสนุกสนานและทำอะไรด้วยตนเองมาคนเดียวตลอด จึงทำให้เธอนั้นไม่ค่อยแคร์ใคร เธอใช้ชีวิตอยู่อังกฤษเป็นเวลานานถึง 10 ปี ตอนนี้เธออายุ 22 ปี จบปริญญาตรีตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและไม่ยอมกลับมาบ้าน จนพ่อกับแม่ต้องยื่นคำขาดให้กลับมาช่วยงานที่บริษัทเพื่อเรียนรู้ที่จะเป็นผู้บริหารต่อในอนาคต รถแท็กซี่ได้เคลื่อนตัวเข้าสู่บ้านหลังใหญ่ใจกลางเมือง เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์นทันสมัย เมื่อเธอลงจากรถก็พบกับคุณพ่อและคุณแม่ที่ยืนรอรับเธออยู่หน้าบ้าน
“มาถึงแล้วเหรอลูก เหนื่อยไหม??”
“สวัสดีค่ะ คุณพ่อคุณแม่ เหนื่อยนิดหน่อยค่ะ ไม่เจอกันนานคิดถึงจังเลย ขอกอดหน่อยค่ะ” หญิงสาวเดินเข้าไปกอดพ่อกับแม่ด้วยความคิดถึง
“เห็นไหม บอกแล้วไม่ฟัง แม่จะให้คนขับรถไปรับก็ไม่เอา” คุณหญิงญาดาเอ็ดผู้เป็นลูกสาวอย่างเป็นห่วง
“ไม่เอาค่ะ คุณแม่ รบกวนลุงบุญเปล่าๆ”
“ลูกสาวพ่อโตเป็นสาวแล้ว สวยจังเลย อย่างนี้พ่อต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคอยคุ้มกันแล้วล่ะ” คุณอาทิตย์ผู้เป็นพ่อพูดหยอกล้อกับลูกสาว
“หือ ไม่เอาค่ะคุณพ่อ หนูชอบไปไหนมาไหนคนเดียวสบายกว่าค่ะ”
“ทำตัวแบบนี้เมื่อไหร่พ่อจะได้อุ้มหลานไหมหนอ???”
“คุณก็..ลูกอายุเพิ่งจะ 22 ปีเองนะคะ เดี๋ยวญาดานัดให้ลูกไปดูตัวลูกชายของเพื่อนให้ค่ะ”
“คุณแม่!! โมริไม่เอา โมริยังไม่อยากมีแฟนค่ะ”
“ฮ่าๆ/ฮ่าๆ” คุณอาทิตย์และคุณหญิงญาดายืนหัวเราะชอบใจที่ได้แกล้งลูกสาวของตัวเอง
“แม่พูดเล่นค่ะลูก นี่ก็เย็นแล้วไปทานข้าวกันเถอะ แม่เข้าครัวเตรียมของโปรดให้หนูโดยเฉพาะเลยนะ”
“แล้วของผมไม่มีบ้างเหรอคุณหญิง”
“ของคุณท่าน ญาดาก็เตรียมให้เหมือนกันค่ะ”
“โอ้ว วันนี้พ่อได้ทานของอร่อยๆ ของคุณแม่อีกแล้ว รีบเข้าไปกันเถอะลูก”
“โอเคค่ะ”
“แย้ม ช่วยยกกระเป๋าเข้าไปไว้ในห้องของโมริด้วยนะจ้ะ”
“ได้เลยค่ะ คุณผู้หญิง”
บนโต๊ะอาหาร
“โมริ คิดถึงอาหารฝีมือคุณแม่จังเลยค่ะ หญิงสาวมองอาหารที่อยู่บนโต๊ะที่มีกลิ่นหอม หน้าตาหน้าทาน”
“ปากหวาน แต่ไม่ยอมบินกลับมาหาแม่เลยนะ”
“ก็ค่าใช้จ่ายมันแพงนี่คะ บินไปบินมาบ่อยๆ เดี๋ยวคุณพ่อจะบ่นเอา”
“คุณพ่อกระเป๋าหนัก เปย์หนูไม่อั้นอยู่แล้วจ้ะ ใช่ไหมคะคุณท่าน??”
“ใช่จ้ะ ต่อให้หนูบินทุกวันพ่อก็เปย์หนูได้”
“แง่ ก็หนูไม่ชอบเดินทางนี่คะ เลยไม่ได้กลับมา”
“จ้าคุณลูก หาข้ออ้างเก่งเชียว” คุณหญิงญาดาแซวลูกสาวอย่างเอ็นดู
เมื่อทานข้าวเสร็จ ทั้งสามพากันมาพูดคุยกันที่ห้องนั่งเล่นอย่างสนุกสนานแต่แล้วความเครียดก็เริ่มขึ้นเมื่อผู้เป็นพ่อเริ่มเข้าโหมดขอร้องให้หญิงสาวเข้าไปทำงาน
“อาทิตย์หน้าพ่อจะส่งหนูไปเรียนรู้งานกับคุณติณภพสาขาภาคตะวันออกนะลูก”
“ไม่เอาค่ะ โมริไม่ไป”
เมื่อนึกถึงชื่อติณภพคนเก่าคนแก่ของพ่อที่เธอเคยเจอเขาเมื่อตอนยังเด็ก นึกถึงความเงียบขรึมและโลกส่วนตัวสูงของเขาก็ไม่อยากทำงานด้วยแล้ว
“พ่อไม่มีทางเลือกแล้วลูก บริษัทของเราตอนนี้เติบโตรวดเร็วเป็นอย่างมาก หนูต้องไปทำงานกับเขา”
"ยังไงโมริก็จะไม่ไปทำงานที่นั้นเด็ดขาด โมริจะออกไปหางานทำเองค่ะ"
"ไม่ได้ ในอนาคตโมริต้องดูแลบริษัทต่อนะลูก"
"แต่โมริไม่อยากทำงานร่วมกับเขา"
"แต่คุณติณภพเขาเป็นคนดีและเป็นคนเก่งมากด้วยนะ หนูต้องไปเรียนรู้กับเขา และจะได้ดูบริษัทในเครือไปด้วย"
"โมริไม่ไป"
"โมริต้องไป นี่คือคำสั่ง!!!" ผู้เป็นพ่อยื่นคำขาดให้เธอ
“คุณพ่อ ตานั้นโหดจะตาย ขี้เก๊ก ด้วย ให้หนูเรียนรู้งานกับคนอื่นก็ได้ค่ะ ทำไมต้องให้เขามาสอนหนูด้วย”
“พ่อรู้งานในบริษัทเรามากกว่าคนอื่นและพ่อก็ไว้ใจเขามาก พ่อเชื่อว่าเขาจะสอนลูกได้อย่างมีคุณภาพ”
“คุณพ่อคะ” หญิงสาวทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“เชื่อพ่อนะลูก”
“แล้วสาขานั้นมีคนอื่นอีกไหมคะ เพราะที่เธอทราบมาสาขานั้นใหญ่มากแต่มีเพียงเขาที่ดูแลที่นั้นเพียงคนเดียว”
“ฝ่ายบริหารก็มีลูกไปเพิ่มไง ทั้งหมดก็มีตั้งสองคน”
“หืออออ หนูจะยอมคุณพ่อไปทำงานที่นั่นแค่สามเดือนนะคะ”
“3 ปีครับบคุณลูก”
“แง่!!! คุณแม่ช่วยโมริด้วย”
“เชื่อคุณพ่อเถอะนะ 3 ปีแปปเดียว” คุณหญิงญาดาปลอบใจลูกสาวที่กำลังอ้อนวอนให้เธอช่วยพูดกับคุณอาทิตย์
“หืออออ ไม่มีใครช่วยหนูเลย แง่” ตอนนี้หญิงสาวงอแงออกมาจนพ่อกับแม่มองมาอย่างเอ็นดู