อี้อันเบิกตากว้างอย่างตกใจ นางหันไปมองรอบๆ ว่ามีผู้อื่นได้ยินเรื่องที่เขาพูดหรือไม่
“ไม่มีผู้ใดรู้ วันที่น้องสาวเจ้าฟื้นขึ้นมา นางมาพบข้าที่เรือน แล้วบอกเรื่องนี้กับข้า นางต้องการให้ข้ายอมแต่งกับเจ้า เพื่อไม่ให้เจ้าไปก่อกวนนางที่จวนตระกูลชุย” อี้อันหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างขบขัน
ซูฉีกล้าบอกเรื่องที่ร้ายแรงเพื่อให้ตนได้สมหวังเพียงแค่นั้นหรือ นางไม่คิดหรือว่าหากหวังเต๋อชางนำเรื่องนี้ไปบอกผู้อื่น ทั้งสองคนจะต้องถูกเผาทั้งเป็น
“พี่สาวข้าช่างคิดอ่านเรื่องนี้มาอย่างดี ขอบคุณท่านที่ไม่นำเรื่องนี้ไปบอกผู้อื่น แต่หากท่านไม่ต้องการแต่งงานข้าจะจัดการให้ท่านเอง” อี้อันก้มหัวขอบคุณเต๋อชางจากใจจริง นางหมุนตัวกลับเพื่อไปช่วยงานผู้อื่น แต่ก็ถูกเขารั้งไว้อีกครั้ง
“หากเจ้าไม่รังเกียจข้าอีกสามวันข้าจะส่งแม่สื่อมาที่เรือนของเจ้า” หวังเต๋อชาง ไม่รอคำตอบจากอี้อัน เขาเดินไปที่ส่วนหน้าของเรือนทันที
อี้อันมองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่างครุ่นคิด นางมีทางเลือกอย่างอื่นด้วยหรือ ไม่เช่นนั้นก็คงต้องหนีไปอยู่ที่อื่น หากกลัวว่าจะมีผู้ใดล่วงรู้ความลับของนางเขา
อย่างน้อยเขาก็ทำให้นางได้รู้ว่า เรื่องความลับของนางกับซูฉี หากเขาคิดจะพูดก็คงพูดไปตั้งแต่วันที่รู้เรื่องแล้ว
อี้อันช่วยชาวบ้านและมารดาเก็บข้าวของ ท่ามกลางสายตาที่มองมาที่นางอย่างประหลาดใจ ทุกคนคงหวังให้นางโวยวายออกมากระมัง แต่นางจะทำไปเพื่ออันใด เพราะนางไม่ได้อยากแต่งให้กับรุ่ยเหิงอีกแล้ว
หวังเต๋อชาง เมื่อบอกกล่าวเรื่องที่อยากจะพูดกับอี้อันแล้ว วันต่อมาเขาก็ขึ้นเขาไปล่าสัตว์ เพื่อจะนำเงินที่ได้มาเป็นสินสอดให้อี้อัน แม้ผู้นำหมู่บ้านจะบอกเขาแล้วว่าไม่จำเป็นต้องให้สินสอดกับเขา
แต่อย่างไร เขาก็ไม่อาจจะแต่งนางโดยไม่มีสินสอดให้เป็นขี้ปากของชาวบ้านได้ หวังเต๋อชางบอกกล่าวน้องชายวัยสิบสามหนาวเรื่องที่เขาต้องขึ้นเขาหลายวัน
หวังหมิ่นถัง พยักหน้ารับไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ชายเขาเข้าป่าล่าสัตว์หลายวัน แต่ครั้งนี้เขาไม่เห็นด้วยที่พี่ชายจะแต่งสตรีที่ร้ายกาจเช่นอี้อันเข้าเรือน
น้องสาวแท้ๆ ของนาง นางยังผลักตกน้ำ เพื่อให้ตายได้เลย แล้วนางจะมารักพี่ชายของเขาได้อย่างไร
“ท่านพี่ ท่านคิดเรื่องนี้ดีแล้วใช่หรือไม่ขอรับ” หมิ่นถังเอ่ยถามอย่างกังวล
“ใช่ เจ้ามิต้องกังวลเรื่องของข้า พักรักษาตัวให้ดี หากหายเมื่อใด ข้าจะให้เจ้าเข้าเรียนที่สำนักศึกษา” แววตาของหมิ่นถังสั่นไหว เขาอยากร่ำเรียนมาโดยตลอด
แต่ร่างกายที่อ่อนแอจึงได้แต่เป็นภาระให้พี่ชายมาตลอด เงินที่พี่ชายหามาได้ทั้งหมด ล้วนแต่เป็นค่ายาของเขา ไม่ใช่ว่าหมิ่นถังไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาก็อยากจะร่ำเรียนเช่นกัน แต่จำต้องเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อมาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายในเรือน เมื่อบิดามารดาถูกโจรป่าสังหารเมื่อหลายปีที่แล้ว
“ขอรับท่านพี่” เขารับปากพี่ชาย ก่อนจะกลับเข้าห้องเพื่อไปนอนพัก
สองวันที่หวังเต๋อชางอยู่ในป่า เขาล่าสัตว์น้อยได้หลายตัว แต่สัตว์ใหญ่ยังล่าไม่ได้เลยสักตัว จำต้องรีบลงเขา เพราะพรุ่งนี้เขาต้องพาแม่สื่อไปพูดคุยที่ตระกูลไป๋
ระหว่างทางที่กำลังออกมาจากป่าชั้นใน หวังเต๋อชางพบหมูป่าตัวใหญ่กำลังกินดินโป่ง ธนูในมือถูกขึ้นสายแล้วเล็งไปที่หมูป่าทันที ลูกธนูปักเข้าที่คอของมัน แต่กลับไม่ล้มตายลงในทันที
เต๋อชางจำต้องยกธนูขึ้นเล็งอีกครั้ง ก็เป็นจังหวะเดียวกันที่หมูป่าวิ่งเข้ามาหาเขาอย่างดุร้าย ยังดีที่หวังเต๋อชาง ปล่อยลูกธนูอีกดอกออกไปอย่างรวดเร็ว หมูป่าตัวใหญ่ล้มอยู่ที่แทบเท้าของเขา แต่ก็ทำให้ใจของเขาสั่นสะท้านเช่นกัน
หากเมื่อครู่เขาปล่อยลูกธนูอีกดอกออกไปไม่ทัน ไม่รู้ว่าตนเองจะบาดเจ็บมากเพียงใด เขาแบกหมูป่าตัวใหญ่กลับหมู่บ้าน ตอนที่ออกจากป่ามา ไม่มีชาวบ้านคนใดที่ไม่มองมาที่หวังเต๋อชางด้วยความอิจฉา
แต่เมื่อนึกถึงเงินที่ได้จากการขายหมูป่าหลายสิบตำลึง ต้องถูกใช้ไปกับค่ายาของหมิ่นถังต่างก็ถอนหายใจออกมาอย่างเห็นใจ
เต๋อชางเช่าเกวียนวัวของท่านลุงกู้ เข้าเมืองเพื่อนำสัตว์ป่าที่ขายได้ไปส่งให้เหลาอาหาร บางส่วนเขาเก็บไว้บำรุงร่างกายให้กับหมิ่นถัง แล้วยังเก็บไว้ให้ตระกูลไป๋ ที่จะไปพบพวกเขาที่เรือนอีกด้วย
ครั้งนี้เต๋อชางได้เงินค่าหมูป่ามาถึงสามสิบตำลึงเงิน เขาใช้ซื้อยาให้หมิ่นถังสิบตำลึงเงิน แล้วรีบกลับหมู่บ้าน เพื่อไปแจ้งแม่สื่อเรื่องที่เขาจะให้ไปสู่ขออี้อันในวันพรุ่งนี้
“ท่านพี่ นางไม่รังเกียจพวกเราหรือขอรับ” หมิ่นถังอดที่จะถามถึงว่าที่พี่สะใภ้ของเขาไม่ได้
“ไม่ เจ้าอย่าได้กังวล ข้าคุยกับนางแล้ว” เต๋อชางนำเงินที่เก็บไว้ทั้งหมดออกมารับดู
เมื่อรวมกับที่ได้มาวันนี้ที่เหลือยี่สิบตำลึงเงิน เขามีอยู่ทั้งหมดห้าสิบตำลึงเงินเท่านั้น สิ่งที่หมิ่นถังกังวลเขาก็รู้ ว่าถ้าหากใช้แต่งอี้อันทั้งห้าสิบตำลึง เขาก็จะไม่เหลือเงินให้ใช้จ่ายเลยสักเหรียญเดียว
“อาถัง เรื่องเงินเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง พี่จะจัดการเรื่องนี้เอง”
หมิ่นถังจำต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงคอ เมื่อเห็นสายตาของพี่ชายที่กำลังตำหนิเขาอยู่
วันต่อมาหวังเต๋อชาง จึงได้ไปที่เรือนตระกูลไป๋กับแม่สื่อ ของหมั้นที่หวังเต๋อชางเตรียมมาก็ไม่ได้น้อยหน้าสตรีในหมู่บ้านที่แต่งออกไป แต่ไม่อาจเทียบกับของซูฉีได้ก็เท่านั้น
แต่อี้อันนางก็มิได้ดูแคลนสินสอดที่เล็กน้อย บิดามารดาของนางก็เช่นกัน ทั้งสองยินดีหากอี้อันนางจะได้แต่งออกไปเสียที
เพราะอายุของนางก็ล่วงมาถึงสิบเจ็ดหนาวแล้ว หากปีหน้านางยังไม่ได้ออกเรือน ไม่แคล้วคงไม่มีผู้ใดอยากแต่งกับนางอีก
เมื่อแลกเปลี่ยนเทียบชะตาแล้ว แม่สื่อก็ไปจัดการดูฤกษ์มงคลให้ทั้งสองทันที อี้อันเดินออกไปส่งหวังเต๋อชางที่หน้าเรือน
“ท่านมิต้องนำสินสอดมามากเพียงนี้ก็ได้” อี้อันนางรู้มาจากบิดามารดาแล้วว่าครอบครัวของหวังเต๋อชางเป็นเช่นไร