ณ คฤหาสน์มาร์คัส นอกเมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เวลา 20:30 น.
คฤหาสน์สไตล์เรอเนสซองซ์ตั้งตระหง่านบนเนินเขา แสงไฟสีนวลสะท้อนกระจกเก่าแก่และพื้นหินอ่อน ทุกอย่างที่นี่ยังเหมือนเดิม…ตั้งแต่ตอนที่เขาอายุห้าขวบ จนถึงตอนนี้ที่เขาอายุสามสิบสอง
มาร์คัสเปิดประตูห้องนอนของตัวเอง เขาเพิ่งกลับมาถึงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน สั่งให้ลูกน้องเตรียมกระเป๋าและของใช้สำหรับการเดินทางกลับไทยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว
ห้องของเขาเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองสะท้อนอยู่ในห้องกว้าง กลิ่นเก่า ๆ ของไม้โบราณ ผ้าปูเตียงลินินฝรั่งเศส และแสงจากโคมไฟหัวเตียง สะท้อนกรอบรูปเก่าข้างหัวเตียง รูปเดียวที่มีเขาและเวย์เดน ตอนยังเด็ก…ถ่ายไว้ก่อนจะแยกจากกัน
“ตั้งแต่ห้าขวบ…”
เสียงของเขาแหบแห้งเอ่ยออกมาเบา ๆ ดวงตาคมเหม่อมองเพดานขณะนอนพิงหัวเตียง
“เราแยกจากกันเพราะพ่อกับแม่หย่ากัน… พ่อเอาเวย์เดนไป แม่เอาฉันมาอยู่ที่นี่”
เขาหลับตา พยายามตัดภาพในหัว แต่กลับชัดขึ้นทุกที
แต่ภาพความทรงจำในวัยห้าขวบ ยังคงชัดเจนในหัว
เสียงทะเลาะดังลั่น พ่อและแม่เถียงกันอย่างดุเดือด เวย์เดนจับมือน้องไว้แน่น น้ำตาคลอ ก่อนจะถูกพ่อดึงตัวออกไป ส่วนเขา มาร์คัส ถูกแม่อุ้มขึ้นเครื่องบินทันทีในวันรุ่งขึ้น
“ตอนนั้นคิดว่าแม่รักฉันมาก…ถึงได้พามาอยู่ที่นี่”
เขาพูดกับตัวเอง ดวงตาแดงเรื่อขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ
“แต่ไม่ถึงปี…ฉันก็ป่วย”
ในวัยหกขวบ
ร่างเล็กนั่งกอดเข่าบนเตียง ร้องไห้คนเดียวทุกคืน เสียงในหัวเริ่มกระซิบแปลก ๆ บางครั้งเขาลืมว่าตัวเองทำอะไรลงไป รู้ตัวอีกทีก็เห็นแม่นมนอนเลือดไหล เพราะเขาผลักเธอล้มขณะอาละวาด
แม่ร้องไห้ พาเขาไปพบจิตแพทย์
หมอบอกว่า “ลูกคุณมีแนวโน้มเป็นโรคสองบุคลิก ต้องพบหมออย่างต่อเนื่อง”
ไม่นานนัก แม่ก็หายไป
“แม่บอกว่าเวย์เดนไม่สบาย…แค่ไข้หวัดธรรมดา”
“แล้วแม่ก็จากไป…ไม่เคยกลับมา”
มาร์คัสลืมตาขึ้น มองเพดานนิ่ง ๆ
“โรคฉันรักษาไม่หาย…เพราะอะไร รู้ไหม?”
“เพราะแม่ไม่เคยกลับมา…ไม่เคยอยู่ตรงนั้นเลยสักครั้ง”
เสียงหัวเราะในลำคอของเขาเย้ยหยัน ราบเรียบแต่บาดลึก
“ทุกครั้งที่ฉันเจ็บ ฉันต้องเจอมันคนเดียว ทุกครั้งที่ตัวฉันอีกคนออกมา…”
“คนที่ฉันรัก…ก็หายไปทีละคน”
เขานั่งพิงหัวเตียง เอามือกุมขมับแน่น หายใจหนัก
“ใคร ๆ ก็คิดว่าฉันกลับไทยเพราะเวย์เดน…ก็ใช่ส่วนหนึ่ง”
“แต่ที่มากกว่านั้น…คือฉันอยากเจอแม่…”
“อยากรู้ว่าแม่ยังมีชีวิตอยู่ไหม…ยังจำฉันได้หรือเปล่า”
“หรือว่าทุกอย่าง…มันแค่เรื่องบังเอิญที่แม่ตั้งใจลืมไปตั้งแต่แรกแล้ว”
จากนั้นเขาลุกจากเตียง เดินไปเปิดตู้ไม้โอ๊คเก่า
เขาหยิบกล่องเล็ก ๆ ใบหนึ่งออกมา เปิดฝาช้า ๆ ข้างในมีเพียงจดหมายเก่าใบนั้น ที่แม่เคยเขียนไว้ตอนเขาป่วยครั้งแรก
“ลูกแม่…ถ้าแม่เลือกได้ แม่อยากอยู่กับลูกมากกว่านี้ แม่เสียใจ…”
เขาพึมพำคำในจดหมายนั้นซ้ำ ๆ แล้วปิดฝากล่อง
“เสียใจเหรอ? ถ้าเสียใจจริง…ก็ต้องไม่ทิ้งกันตั้งแต่ตอนนั้น”
เขาหลับตาแน่น หยิบขวดยาที่หมอให้ไว้เมื่อตอนเช้า วางไว้บนหัวเตียง
“แต่ไม่เป็นไร…คราวนี้ฉันจะกลับไปเจอแม่เอง…”
“…และถามด้วยตัวเอง ว่าแม่เคยรักฉันจริง ๆ ไหม หรือแค่สงสาร”
อีกด้านหนึ่ง ณ คฤหาสน์ตระกูลเบลเลโซ่ กรุงเทพฯ เวลา 22:47 น.
ภายในคฤหาสน์หรูสไตล์ยุโรปที่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ ความเงียบสงัดยามค่ำคืนถูกแทนที่ด้วยเสียงกรุ๋งกริ๋งของถ้วยชาที่กระทบกันเบา ๆ บนโต๊ะไม้โอ๊คแกะสลัก
คุณหญิงแวววรรณ เบลเลโซ่ ในวัยกว่าเจ็ดสิบ แต่ยังคงงามสง่าในชุดผ้าไหมไทยตัดพิเศษ สีกรมเข้มแบบผู้ดีเก่า นั่งจิบชาอู่หลงร้อน ๆ อย่างใจเย็น แม้เวลาจะล่วงเลยเกือบเที่ยงคืน
ข้างกายเธอมีผู้ติดตามประจำตัว รวมถึง เคน มือขวาผู้ภักดีของเวย์เดนยืนอยู่เงียบ ๆ รอคำสั่ง
“เจ้ามาร์คัสว่าไง”
เสียงเธอนิ่ง เรียบ แต่แฝงด้วยแรงกดดันที่ทำให้ทั้งห้องหยุดหายใจไปชั่วครู่
เคนก้าวออกมานิดหนึ่งก่อนตอบ
“คุณมาร์คัสบอกว่า…อีกสามวันครับคุณหญิง นับรวมวันนี้ก็สองวัน”
คุณหญิงวางถ้วยชาลงเบา ๆ อย่างแผ่วเบา แต่ท่าทางสง่างามทุกกระเบียดนิ้ว
“อืม…ไวดี”
น้ำเสียงของเธอฟังดูพึงพอใจเล็กน้อย ก่อนจะเงียบไปสักพัก ราวกับกำลังวางหมากบนกระดานที่คนอื่นมองไม่เห็น
เคนมองหน้าคุณหญิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“คุณหญิงย่าครับ…ถ้าเกิดคุณมาร์คัสมาแล้ว…ไม่เจอคุณแม่ของเขา จะทำยังไงครับ?”
“คุณนายหญิง…หายตัวไปตั้งแต่คุณเวย์เดนอายุห้าขวบแล้วนะครับ”
บรรยากาศในห้องชากระอักกระอ่วนทันที
คุณหญิงเงียบ…สายตาเยือกเย็นหรี่ลงช้า ๆ ก่อนจะเอื้อมหยิบผ้าเช็ดปากมาวางพาดตัก
“ฉันมีวิธีของฉัน…”
เสียงของเธอเฉียบคม แต่ไม่โวยวาย
“แกมีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป ไม่ต้องมายุ่งเรื่องที่ใหญ่กว่าตัวเอง”
เธอหันมาสบตาเคนตรง ๆ ดวงตาเข้มขรึมที่ผ่านโลกมาเกินกว่าจะมีใครมองทะลุ
“แต่จำไว้ เคน…ฉันไม่ยอมให้ตระกูลเบลเลโซ่ต้องล้ม และไร้ทายาทสืบทอดเด็ดขาด”
เคนพยักหน้าเงียบ ๆ
“ครับ…คุณหญิง”
คุณหญิงวางช้อนชาในจานรองเสียงแผ่ว ก่อนหันไปพูดกับเลขาข้างกายเสียงเรียบแต่เฉียบขาด
“เออ แล้วก็…”
“ไปเฟ้นหาผู้หญิงที่เหมาะจะเป็นแม่พันธุ์คลอดทายาทให้ตระกูลฉัน”
เลขาตาเบิกเล็กน้อย แต่ไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ เพียงจดคำสั่งไว้เงียบ ๆ
“ฉันจะคัดเลือกเอง…จะให้มาร์คัสเลือกไม่ได้ เผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ตระกูลของฉันก็ต้องมีทางรอด”
“ถ้าจะใช้เลือดและเนื้อฉันสร้างจักรวรรดิ ฉันก็ไม่ยอมให้มันพังเพราะความอ่อนแอของใครหน้าไหนทั้งนั้น”
คำพูดสุดท้ายกรีดอากาศเหมือนคมมีด
คุณหญิงย่านั่งนิ่งราวกับราชินีผู้ปกครองอาณาจักรและหมากเกมใหม่ที่เริ่มวางเรียงทีละตัว