โลกใบใหม่

1427 Words
นานพอสมควรเลยทีเดียว กว่าผมจะลืมตาขึ้นมาในถ้ำมืดที่อวลไปด้วยกลิ่นแห้งหืนของหนังสัตว์ แล้วพบว่าสายตาหลายคู่กำลังจ้องมาทางผมเป็นตาเดียว เสียงร่ายมนต์ประหลาดดังกึกก้องและสะท้อนไปมาจนหลอนหู นึกแปลกใจกับร่างเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ของทุกคนที่เข้ามารุมล้อม แต่ก็แอบคิดในใจว่าคงเป็นเรื่องปกติของผู้คนที่นี่ เพราะร่างกายผมที่อยู่ใต้ผ้าห่มขนสัตว์แบบหยาบๆ นั่นก็เปลือยเปล่าไม่แพ้กัน หรือไม่แน่…ผมอาจจะแค่กำลังหลับฝันอยู่ก็เป็นได้ แต่ความอ่อนเพลียและไอร้อนที่ระอุขึ้นมาจากภายใน ทำให้ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองนั้นกำลังนอนซมอยู่เพราะพิษไข้… ไม่มีหรอก กลุ่มผู้คนที่จะแก้ผ้าเปล่าเปลือยได้อย่างไม่อับอาย เพราะเท่าที่จำได้ ผมไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับชาวลัทธิเปลือยกายเพื่อหลุดพ้นจากพันธนาการทางสังคม และที่สำคัญ จากลักษณะที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและไร้ซึ่งความสะอาดบนเรือนกายของพวกเขา ทำให้ผมตัดประเด็นลัทธินี้ออกไปโดยไม่ต้องยกเหตุผลใดมาคัดค้านต่อ “เขาฟื้นแล้ว จาโคบุตรแห่งท่านผู้นำฟื้นแล้ว” จาโค...คงเป็นชื่อของร่างที่ผมมาอาศัยอยู่นี่สินะ น่าแปลกที่มันไม่ใช่การกำเนิดใหม่ตามความเชื่อของหลักศาสนาทั่วๆไป และต่างจากกฏธรรมชาติในด้านการสืบพันธุ์ของมนุษย์ ที่จริงแล้วผมควรต้องจุติเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดาถึงเก้าเดือนจนกว่าจะคลอด และลืมเลือนเรื่องทุกอย่างในอดีตชาติไป แต่กลับเป็นการเกิดใหม่ในร่างของชายหนุ่มที่โตเต็มวัยและป่าเถื่อน ดังนั้น มันจึงเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดที่สุด เท่าที่เคยเจอมาในชีวิตผม หลายคนช่วยกันพยุงผมให้ลุกขึ้นนั่งพิงผนังถ้ำอย่างมั่นคง ก่อนจะรุมล้อมกันเข้ามาเพื่อถามไถ่อาการ พวกเขาต่างก็แย่งกันเล่าว่าผมนอนนิ่งไม่ได้สติไปถึงสามวันเต็มๆ หลังจากที่มีอาการตัวร้อนและหมดสติไปเพราะพิษไข้ "ตอนนั้น กายของเจ้าร้อนจัดราวกับไม่ใช่ผิวกายของมนุษย์ พวกเรากลัวมากว่าจะเสียเจ้าไป เพราะปีนี้จาฟาร์เองก็ชราลงมากแล้ว หากทายาทของเขาตายไปเสียก่อน พวกเราก็ต้องยุ่งยากกับการหาผู้นำคนใหม่เพื่อมาดูแลเผ่าของพวกเรา" เสียงของหญิงชราผู้หนึ่งคอยเล่ารายละเอียดในช่วงเวลานั้นให้ผมฟังอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ผมกลับเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียเพราะเพิ่งฟื้นจากพิษไข้มาหมาดๆ พอเอ่ยปากร้องขอน้ำดื่มก็ต้องพบกับคำตอบสั้นๆ ว่า ผมต้องลุกเดินไปดื่มเองที่ธารน้ำตกที่ทะลุไปได้ทางด้านหลัง เนื่องจากที่นี่ยังไม่รู้จักสิ่งประดิษฐ์ที่เรียกกันว่า 'ภาชนะ' ให้ตายเถอะ พระเจ้าส่งผมกลับมาเกิดที่โลกไหนกันแน่นะ ทำไมแม้แต่ภาชนะสำหรับใส่น้ำดื่มก็ยังไม่มี แล้วไหนจะเรื่องของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายอีกเล่า ทุกคนที่นี่ เพราะไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือสตรีก็ล้วนแต่ต้องเปลือยกายเดินสวนกันไปมาโดยไม่รู้จักอับอาย แถมยังอาศัยอยู่รวมกันในถ้ำเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่รู้จักแม้กระทั่งเปลวไฟหรืออะไรก็ตามที่ผมเคยรู้จัก... “ที่นี่เรียกว่าอะไร” ผมหันไปกระซิบถามสตรีสาวนางหนึ่งที่กำลังนั่งยื่นน้ำดื่มในจอกใบไม้ทรงกรวยมาให้ผม แม้ปริมาณของมันจะน้อยนิดจนไม่พอดับกระหาย แต่มันก็ช่วยให้ผมเอ่ยปากพูดขึ้นมาได้บ้าง หลังจากต้องทนกับลำคอที่แสบร้อนเพราะความกระหายน้ำอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้ “ที่นี่เหรอ? ที่นี่ไม่มีชื่อ เราทุกคนต่างก็เรียกมันว่าบ้านของเรา” เธอผู้นั้นตอบผมด้วยน้ำเสียงที่เป็นกันเอง ก่อนจะบรรจงยื่นอาหารหรืออะไรสักอย่าง ที่มีกลิ่นเกือบเน่าเสียและไม่มีความน่ากินเอาเสียเลยมาให้ผม… ผมผลักเนื้อสัตว์ดิบที่ถูกห่อใส่ใบไม้มายื่นให้ด้วยไม่รู้สึกถึงความน่ารับประทาน ผมไม่ชอบกินของดิบมาแต่ไหนแต่ไร ยิ่งเนื้อสัตว์ประหลาดที่ถูกฉีกมาทั้งขาพร้อมเลือดเสียที่ยังเกรอะกรังอยู่แบบนี้ ทำให้ผมยิ่งรู้สึกหมดความอยากอาหารทั้งๆ ที่ร่างกายกำลังต้องการมันอย่างเหลือล้น "ถ้าท่านไม่กินมัน ท่านจะไม่มีแรงเลยนะจาโค" หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของชิ้นเนื้อประหลาดนั่นกล่าวกับผมด้วยความห่วงใย แต่ผมกลับล้มตัวลงนอน และกล่าวปฏิเสธเธอไปอย่างไม่ไยดี "ช่างเถอะ ให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ไปก็แล้วกัน" ผมกล่าวเพียงเท่านั้น ก่อนจะหันหลังให้กับทุกคนแล้วซุกกายหลับลงภายใต้ผ้าห่มขนสัตว์ที่เหม็นหืนจางๆ ด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียเป็นที่สุด . แสงอาทิตย์ที่ส่องสว่างเข้ามาภายในถ้ำปลุกผมและทุกคนให้ตื่นนอน น่าแปลกที่หลายคนยังคงนั่งนิ่งและรอคอยให้กลุ่มชายฉกรรจ์ออกไปหาอาหารมาให้อย่างไร้ค่า พวกเขาดูเบื่อหน่ายกับการนั่งเฉยๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไร เพราะหน้าที่ของคนอ่อนแออย่างเด็ก สตรี คนสูงอายุ และผู้ป่วยอย่างผมก็คงถูกจำกัดให้ทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนผมเองก็ได้แต่นั่งงุนงงอยู่ด้วยความสับสน เพราะเมื่อวัดจากการตื่นขึ้นมาในร่างเดิมอีกครั้งพร้อมความหิวกระหายปนอ่อนเพลีย ประกอบกับสภาพแวดล้อมที่บ่งชัดว่าผมเองก็มิได้ฝันไป องค์ประกอบเหล่านี้ทำให้ผมงุนงงเป็นอย่างมาก นึกประหลาดใจกับพรข้อใหม่ที่เพิ่งได้รับมาจากพระผู้เป็นเจ้ายังไม่พอ ยังต้องคิดหาทางปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตที่ป่าเถื่อนไร้อารยะธรรมใดๆเช่นนี้อีก ก่อนอื่น ผมต้องหาวิธีเอาอาหารมาใส่ปากใส่ท้องของตนเองโดยไม่ยอมทนกินเนื้อเน่าๆนั่น แม้จะยังไม่ทราบดีว่ากำลังประสบอยู่กับสถานการณ์ใด แต่วิถีของตำรวจต้องปรับตัวให้ได้ในทุกสถานการณ์ ต่อให้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายเช่นตอนนี้ก็ตาม ผมก็จะไม่ยอมเสียเวลาไปกับความหวั่นไหวใดๆโดยเด็ดขาด เท่าที่ผมลองสอบถามดู ที่นี่ยังไม่รู้จักแม้กระทั่งการก่อไฟ พวกเขาจึงจำเป็นต้องกินเนื้อดิบๆและบางส่วนก็ถูกเก็บเอาไว้ในโพรงหินที่มีไอเย็นเพื่อรักษาความสดใหม่ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ตู้เย็น ดังนั้น คุณภาพการเก็บเนื้อในโพรงหินจึงสู้ไม่ได้เลยกับตู้เย็นไฟฟ้าที่มีอยู่ในยุคของผม และในฐานะบุตรชายของผู้นำ ผมควรหาอะไรให้พวกเขาทำก่อนที่จะเฉาตายกันไปข้าง ซึ่งเรื่องแรกที่ผมคิดจะทำก็คือการก่อไฟ เพราะเปลวไฟคือสิ่งเดียวที่จะช่วยอำนวยประโยชน์ให้พวกเขาและตัวผมได้อย่างมหาศาล เพราะอย่างน้อยๆก็ใช้ย่างเนื้อให้สุกได้ ไฟ เป็นได้ทั้งอาวุธ แสงสว่าง และใช้ในการประกอบอาหารให้ปลอดเชื้อโรคได้ ประโยชน์และคุณค่าของมันช่างอเนกอนันต์จนไม่มีใครคาดถึง แต่ด้วยความที่พวกเขายังไม่ค่อยเข้าใจกับสิ่งที่ผมได้อธิบายไปทั้งหมด ผมจึงจำเป็นต้องลงมือปฏิบัติเพื่อให้พวกเขาได้ประจักษ์แก่สายตา “ท่านจะออกไปไหนหรือ จาโค” เด็กหนุ่มที่คอยเฝ้าพยาบาลผมมาตลอดทั้งคืนรีบลุกขึ้นและวิ่งตามออกมาพร้อมท่อนไม้ขนาดใหญ่ คาดว่าเขาคงใช้มันเป็นอาวุธเพื่อป้องกันตัวยามออกไปข้างนอกถ้ำ เนื่องจากที่ที่ผมยืนอยู่ในขณะนี้ยังไม่รู้จักโลหะหรือสิ่งมีคมใดๆเลย “ข้าจะไปหาอุปกรณ์มาก่อไฟตามที่เล่า หากเจ้าอยากรู้ว่ามันคืออะไร ก็ตามข้ามา” ผมกล่าวตอบเขาไปเพียงสั้นๆ ก่อนจะเดินนำหน้าออกไปทางด้านข้างของตัวถ้ำ ที่เต็มไปด้วยหินดินดานสุดล้ำค่า
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD