บทที่ 1
บทนำ
“มายด์..สวัสดีลุงวัชสิลูก ต่อไปเราสองคนจะมาอยู่กับลุงวัชแล้วนะจ๊ะ”
หญิงวัยสามสิบแปดเอ่ยบอกลูกสาวด้วยเสียงอบอุ่นเมื่อสองแม่ลูกนั่งอยู่บนโซฟาหรูภายในบ้านวรโชติหลังใหญ่ใจกลางเมือง ตรงข้ามมีชายวัยสี่สิบนั่งยิ้มอย่างมีความสุขและมีเด็กชายวัยสิบเอ็ดขวบนั่งหน้าตึงอยู่ข้างๆ แต่คุณธวัชกลับไม่สนใจ ท่านเอาแต่มองจ้องไปยังคุณพิมพ์พรรณภรรยาคนใหม่ด้วยความดีใจอย่างปิดไม่มิด
“สวัสดีค่ะลุงวัช”
เด็กหญิงวัยเก้าขวบหน้าตาจิ้มลิ้มยกมือไหว้อย่างนอบน้อม ตากลมโตมองไปยังเด็กชายอย่างสงสัยว่าเขาคือใครจนคุณธวัชต้องพูดแนะนำ
“นี่พี่มาร์ชนะมายด์ ต่อไปพี่มาร์ชจะเป็นพี่ชายของหนู”
“ไม่ครับ!! ผมจะไม่เป็นพี่ชายของใครทั้งนั้น”
เสียงพูดแข็งกร้าวส่งผลให้บุคคลในห้องรับแขกต่างหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน โดยเฉพาะคุณธวัชที่หันมองลูกชายเพียงคนเดียวด้วยสายตาไม่พอใจ แต่มาร์ชกลับเมินหน้าหนีก่อนลุกขึ้นและเดินออกไปในทันที ปล่อยให้สามคนที่เหลือมองตามด้วยความรู้สึกคนละแบบ
“พิมพ์อย่าถือสามาร์ชเลยนะ ตั้งแต่แม่เขาเสียพี่ก็ไม่ค่อยมีเวลให้เขา มาร์ชเลยค่อนข้างเกเร แต่ไม่ต้องห่วงไว้พี่จะคุยกับมาร์ชให้อีกที” คุณธวัชกล่าวแก้สถานการณ์เพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะพี่วัชพิมพ์เข้าใจ เรื่องแบบนี้คงต้องให้เวลาซักหน่อย เพราะมายด์เองพิมพ์ก็ต้องคุยกับลูกให้เข้าใจเรื่องระหว่างเราอีกเยอะเลยค่ะ”
“มายด์ไม่ต้องกลัวนะลูก ไว้ลุงจะคุยกับพี่เขาให้” คุณธวัชพูดขึ้นเมื่อจับความรู้สึกของเด็กหญิงตัวน้อยได้
“ค่ะ..คุณลุง” เด็กหญิงพยักหน้ารับทราบทั้งที่ในใจนึกหวาดหวั่นกับสายตาของเด็กชายเหลือเกิน
“มายด์น่ารักมากเลยพิมพ์ พี่อยากได้ลูกผู้หญิงมานาน เอางี้มั้ยต่อไปนี้มายด์เรียกลุงว่า พ่อ ดีกว่านะ”
คุณธวัชพูดกับเด็กหญิงด้วยความเอ็นดูท่านได้รับรอยยิ้มใสตอบกลับมาพร้อมกับเสียงเล็กๆ
“ค่ะ..คุณพ่อ”
เด็กหญิงที่ว่านอนสอนง่ายพูดออกมาอย่างเขินอายเมื่อต้องเรียกคนอื่นที่ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ว่า พ่อ มายด์มักเป็นแบบนี้เสมอ หัวอ่อนและไม่เคยดื้อกับแม่เลยสักครั้ง ไม่ว่าคุณพิมพ์พรรณจะบอกจะสอนอะไรก็พร้อมทำตามไม่เคยงอแงหรือดื้อรั้น เพราะชีวิตของเธอมีแค่แม่ และแม่ก็มีแค่เธอ
เนื่องจากว่าคุณพิมพ์พรรณได้เลิกรากับพ่อของมายด์ตั้งแต่มายด์อายุได้สามขวบ มายด์จึงเรียนรู้ที่จะทำตามคำสั่งเพราะไม่อยากให้แม่ต้องลำบากและเครียดเรื่องของเธอ
“ต่อไปนี้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านของมายด์ ขาดเหลืออะไรมายด์ก็บอกพ่อได้ทันทีเลยนะ”
คุณธวัชหัวเราะก่อนพูดออกมาเสียงดังอย่างมีความสุข โดยเหตุการณ์ภายในห้องรับแขกตกอยู่ในสายตาของเด็กชายวัยสิบเอ็ดทุกอย่าง เขากำมือแน่นด้วยความโกรธตาแดงก่ำอย่างขุ่นเคือง
..คงมีความสุขกันมากสินะ สาบานเลยว่านับจากนี้ไปเขาจะถือว่าสามคนนั้นไม่ใช่ครอบครัวแม้กระทั่งคุณธวัชก็ตาม..
มาร์ชค่อยๆ เดินออกมามุ่งตรงไปยังห้องนอนและปิดประตูขังตัวเองอยู่ในนั้น เด็กชายสูญเสียแม่ไปตั้งแต่อายุหกขวบตั้งแต่นั้นมาก็เก็บตัวและกลายเป็นคนเงียบขรึม เขาถูกเลี้ยงดูโดยพี่เลี้ยงที่เปลี่ยนอยู่บ่อยครั้งเพราะไม่มีใครสามารถทนนิสัยเอาแต่ใจและอารมณ์ร้ายของเขาได้ จนปัจจุบันมาร์ชมีพี่เลี้ยงมาแล้วถึงเจ็ดคน และคนปัจจุบันกำลังจะสิ้นสุดการทำงานภายในเดือนนี้
คุณธวัชมีผู้หญิงเข้ามามากหน้าหลายตาตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แต่พิมพ์พรรณเป็นคนแรกที่คุณธวัชพาเข้าบ้านและแนะนำกับบรรดาลูกน้องว่านี่คือภรรยาใหม่ของท่าน คุณธวัชได้พยายามพูดคุยกับมาร์ชมาเป็นเวลาหลายเดือนแต่เด็กชายก็ปฏิเสธทุกครั้งด้วยเหตุผลว่าจะไม่ยอมรับใครมาแทนที่แม่ของเขาเด็ดขาด
และวันนี้การที่คุณธวัชพาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาอยู่ในบ้านที่เคยมีแม่ของเขาอยู่มันทำให้ความน้อยเนื้อต่ำใจของเด็กชายมีมากขึ้น เพราะตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาคุณธวัชไม่เคยใส่ใจหรือให้ความอบอุ่นกับมาร์ชเท่าที่ควร หลายๆอย่างเลยแย่ลงแม้กระทั่งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก
7 ปี ต่อมา
ภายในบ้านวรโชติกำลังมีปาร์ตี้วันเกิดเล็กๆ เกิดขึ้น โดยเจ้าของวันเกิดก็คือเด็กสาววัยสิบหกปีบริบูรณ์หน้าตาจิ้มลิ้มผิวขาวอมชมพูที่มีดวงตากลมโต ใครเห็นก็ต้องหลงรักในรอยยิ้มอันสดใส เสียงร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดจบลงจากนั้นมายด์ก็หลับตาอธิษฐานขอพรอย่างเช่นทุกปี
..ขอให้พี่มาร์ชเห็นเธออยู่ในสายตาบ้าง..
”ว้าว..เค้กน่ากินมากเลยค่ะคุณพ่อ นี่ของคุณพ่อค่ะ มายด์ตัดส่วนที่น่ากินที่สุดให้เลยนะคะ”
หญิงสาวยิ้มร่าเริงก่อนตัดเค้กให้คุณธวัชและยื่นมันไปให้ท่านด้วยท่าทีน่ารักออดอ้อนอย่างที่ทำเป็นประจำ
“น่ารักที่สุดเลยลูกสาวพ่อ..โตเป็นสาวแล้วนะปีนี้” คุณธวัชลูบศีรษะเล็กด้วยความเอ็นดู ส่วนคุณพิมพ์พรรณที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ก็ยิ้มอย่างมีความสุขมองลูกสาวสุดที่รักด้วยสายตาอ่อนโยน
“มายด์น่ารักมากๆ อยู่แล้วค่ะคุณพ่อ”
เสียงใสพูดออกมาจากนั้นเธอก็ตัดเค้กให้คุณพิมพ์พรรณ ตามด้วยของตัวเองและชิ้นสุดท้ายคือสมาชิกของบ้านที่ยังไม่กลับมาทั้งที่เป็นเวลาเลิกเรียนแล้วก็ตาม เด็กสาวมองไปยังเค้กด้วยสายตาคาดหวังว่าเจ้าของมันจะมาร่วมสังสรรค์กับทุกคนสักครั้ง เพราะตั้งแต่เธอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านมาชก็ไม่เคยร่วมโต๊ะอาหารหรือร่วมกิจกรรมใดๆ ของบ้านอีกเลย
เสียงฝีเท้าหนักๆ ดังมาเป็นระยะ ต่อมาก็ปรากฏร่างสูงในชุดนักเรียนมัธยมตอนปลายของโรงเรียนนานาชาติชื่อดัง กำลังเดินมายังห้องรับประทานอาหาร แต่ชายหนุ่มวัยสิบแปดที่มีหน้าตาหล่อเหลาเกินวัยต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นว่ามีใครนั่งอยู่โต๊ะอาหาร เขาหยุดเดินและหันหลังกลับทันทีแม้ความตั้งใจเดิมคือมาหาน้ำดื่มแก้กระหาย แต่เสียงคุณธวัชก็ดังขึ้นเสียก่อน
“มาร์ช..อย่าเพิ่งไปสิลูก วันนี้วันเกิดมายด์ มาอวยพรวันเกิดน้องหน่อย”
“........” มาร์ชหันกลับไปและจ้องไปยังมายด์ที่นั่งส่งยิ้มหวานมายังเขา ตากลมโตไหวระริกเมื่อทั้งสองสบตากัน ทำไมจะมองไม่ออกว่าเด็กนี่คิดยังไงกับเขา แรดตั้งแต่อายุสิบสองแล้วมั้ง เธอถึงกับเขียนไดอารี่พร่ำเพ้อหาเขา ที่รู้เพราะมาร์ชไปเจอมันโดยบังเอิญ
“พี่มาร์ชกินอะไรมายังค่ะ วันนี้มีเค้ก..มายด์แบ่งไว้ให้พี่ด้วยค่ะ” มายด์พยายามมองข้ามสายตาดูถูกของมาร์ชแล้วกลั้นใจพูดออกมาอย่างต้องการผูกมิตร คุณพิมพ์พรรณก็ส่งยิ้มให้มาร์ชอย่างอบอุ่นถึงแม้ว่าจะได้รับเพียงความเย็นชากลับมาก็ตาม
“........” มาร์ชยังคงยืนนิ่ง
“มาสิมาร์ช..น้องรออยู่ เค้กอร่อยมากๆ พ่อชิมแล้ว อาหารก็มีของโปรดลูกด้วย น้าพิมพ์ตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะ” คุณธวัชพูดเสริมด้วยรอยยิ้ม
“ผมกินมาแล้ว..ขอตัวนะครับ” มาร์ชหันหลังเดินออกไป
“ดะ เดี๋ยวสิคะพี่มาร์ช” มายด์ลุกขึ้นแล้วรีบเรียกชายหนุ่มเสียงดัง
“ชิทส์! มีอะไร?” มาร์ชจิ๊ปากอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องจำใจหันกลับไป ชายหนุ่มเลิกคิ้วถามออกมาเสียงราบเรียบ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เอ่อ..คือ..มายด์อยากให้พี่กินเค้กซักหน่อยค่ะ มันอร่อยจริงๆ นะคะ”
มาร์ชยังคงยืนนิ่งแต่เพียงครู่เดียวก็ตอบกลับด้วยเสียงเนืองๆ เพื่อตัดบท
“ถ้าอยากให้ฉันกินมากนัก ก็ตามเอาขึ้นไปให้บนห้องฉันสิ!!” พูดจบร่างสูงก็เดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้มายด์ยิ้มเจื่อนเมื่อมองตามแผ่นหลังกว้าง ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันด้วยความน้อยใจแล้วค่อยๆ ทรุดตัวนั่งลง
“มายด์ไม่ต้องคิดมากนะลูก ให้เวลาพี่เขาหน่อย..พ่อเชื่อว่าสักวันมาร์ชต้องยอมรับหนูกับพิมพ์แน่นอน” คุณธวัธมองไปยังคุณพิมพ์พรรณขณะพูด เหมือนเป็นคำมั่นสัญญาจากท่านและคุณพิมพ์พรรณก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะลูบผมลูกสาวอย่างปลอบใจ
“รอหน่อยนะลูก พี่มาร์ชคงพยายามปรับตัวอยู่”
“ค่ะ..แม่” เด็กสาวพยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย ตากลมโตมองไปยังเค้กด้วยความหมายมาดว่ายังไงวันนี้เธอจะทำให้มาร์ชกินมันให้ได้ เพราะนอกจากเค้กจะอร่อยแล้ว มันยังมีคำอธิษฐานที่เธอเฝ้าขอมาตลอดเจ็ดปีอยู่ในนั้น..
ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้นในเวลาสามทุ่มครึ่ง ร่างสูงที่ยังคงอยู่ในชุดนักเรียนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะปกติแล้วจะไม่มีใครกล้ารบกวนเขาในเวลานี้ แม้แต่พี่เลี้ยงอย่างดนัยที่ถือว่าสนิทที่สุด ก็ไม่กล้ามาหาเขาเวลานี้แน่นอน เสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้งส่งผลให้ร่างสูงละมือจากหน้าจอโน๊ตบุ๊คเดินไปเปิดประตูด้วยความหงุดหงิด
แกร็ก..
เมื่อเปิดประตูเขาก็เจอกับร่างบางในชุดนอนกระโปรงยาวลายการ์ตูนน่ารักกำลังยืนยิ้มแป้น ในมือน้อยๆ มีจานเค้กที่เขาเห็นเมื่อช่วงหัวค่ำ ใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มเงยหน้าขึ้นมอง สายตาออดอ้อนที่เห็นประจำกำลังจ้องมาที่เขา ชายหนุ่มยกมือขึ้นเสยผม และมองร่างบางนิ่งอยู่แบบนั้นนานหลายนาที จนคนตัวเล็กเริ่มประหม่า
“พี่มาร์ชยังไม่นอนเหรอคะ มายด์มารบกวนพี่หรือเปล่า” ปากน้อยๆ สีชมพูตามธรรมชาติเอื้อนเอ่ยแก้เก้อ เพราะเธอรู้สึกขวยเขินกับสายตาคมเข้มที่มองมา
“น่าจะรู้ตัวนะว่ากวนฉันหรือเปล่า”
“คือมายด์เอาเค้กมาให้พี่ค่ะ”
มายด์กลั้นใจยื่นเค้กไปตรงหน้า เธอยืนบิดตัวไปมาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก เพราะมาร์ชดูดีและหล่อเหลาเหลือเกินสำหรับเธอ แม้จะเรียนโรงเรียนเดียวกัน แต่เธอก็ไม่เคยได้เข้าใกล้หรือพูดคุยกับเขามากนัก และคนในโรงเรียนก็แทบจะไม่มีใครรู้ว่าเธอกับเขาอยู่บ้านเดียวกัน นอกจากเพื่อนที่สนิทเท่านั้นถึงจะรู้ เพราะคือหนึ่งในข้อห้ามที่มาร์ชพูดกับเธอว่าห้ามบอกใครเรื่องครอบครัว
“อืม..” มาร์ชพยักหน้ารับทราบแต่กลับไม่รับเค้กจากมือบาง ชายหนุ่มมองไปยังใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก เสียงเพื่อนสนิทอย่างลีโอก็แทรกเข้ามาในหัว
“ไอ้มาร์ช..น้องสาวมึงพอโตเป็นสาวม.ปลาย แม่ง!โคตรน่ารักเลยว่ะ ตูดเป็นตูด นมเป็นนม เอวเป็นเอว วันนั้นกูเห็นใส่ชุดเชียร์หรีดเดอร์ของโรงเรียนอ่ะ”
“พี่มาร์ชไม่รับไปเหรอคะ”
มายด์เอียงคอถาม เธอทำตาแป๋วด้วยความเคยชิน จนทำให้คนพี่ที่จ้องอยู่ถึงกลับกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
..ถ้าลองกินน้องสาว (ไม่แท้) ดูบ้าง มันจะเป็นไรไหมวะ..
มาร์ชคิดตามประสาคนที่กำลังแตกเนื้อหนุ่ม ยอมรับว่ามีอะไรกับผู้หญิงมาบ้าง แต่ยังไม่ได้คบใครจริงจังส่วนมากก็ One Night เป็นส่วนใหญ่
“พี่มาร์ชคะ! พี่มาร์ช! พี่จะให้มายด์เอาเค้กวางตรงไหนคะ”
มายด์ถามย้ำอีกที เพราะอีกฝ่ายไม่ยอมพูดหรือทำอะไรเลย เขาเอาแต่จ้องเธอนิ่งๆ ด้วยสายตาที่แปลกไปจากเดิมจนทำให้ใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ
“เข้ามาในห้องก่อนสิ”