ตอนที่ 3
ไม่มีเงินก็คงไม่เรียน
ขวัญนภัสเดินคอตกออกมาจากห้องแนะแนวของโรงเรียนหลังจากเข้าไปคุยกับอาจารย์ถึงเงื่อนไขการกู้ยืมเงินกองทุนการศึกษา ซึ่งอาจารย์ยืนยันว่ายังไงก็ต้องให้บิดามารดาเซ็นชื่อในเอกสารกู้ยืมถึงแม้ว่าเธอจะอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้วก็ตาม
“อาจารย์ว่ายังไงบ้างเฟิร์น” ชุติมณฑ์เพื่อนสนิทที่ยืนลุ้นอยู่หน้าห้องรีบเข้าไปถามเพื่อนด้วยความร้อนใจ
“คำตอบก็เหมือนเดิมนั่นแหละบิว ถ้าแม่ไม่ยอมเซ็นชื่อในเอกสารกู้ยืมเงินก็คงกู้ยืมเงินไม่ได้” เธอส่ายหน้าด้วยอย่างหมดหวังเพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่จะเรียนต่อก็คงน้อยเต็มที
“แล้วทีนี้จะเอายังไงต่อล่ะเฟิร์น”
“ฉันคิดคิดว่าต้องหางานทำช่วงปิดเทอม เงินเก็บฉันพอมีแต่มันมีไม่มากพอที่จะจ่ายค่าเทอมทั้งหมดหรอกนะ”
ขวัญนภัสคิดเอาไว้ว่าตนเองจะต้องหาเงินก้อนแรกมาเป็นค่าใช้จ่ายในการเข้าเรียนก่อน ส่วนค่าใช้จ่ายในเทอมที่สองก็จะทำงานพิเศษเพื่อเป็นค่าเรียนเนื่องจากตอนนี้เธออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์แล้วสามารถทำงานได้มากกว่าแต่ก่อน
“แกคิดว่าจะหาเงินทันไหม”
“ช่วงปิดเทอมฉันก็ต้องเร่งหาเงิน ฉันยังมีเวลาช่วงปิดเทอม ประมาณสามเดือน ถ้าไม่เลือกงานก็น่าจะทันอยู่นะ ฉันว่าจะลองไปเป็นเด็กเสิร์ฟที่ร้านเหล้าตรงหน้าปากซอยนะฉันถามคนที่ทำงานในนั้นแล้วเขาบอกว่าเงินดี”
“แต่แบบนั้นมันอันตรายนะกลับก็ดึกแล้วแม่จะยอมเหรอ”
“ถ้าออกมาทำงานแม่คงไม่ว่า แต่แม่ก็คงต้องขอส่วนแบ่งไว้แน่ๆ เฮ้อทำไมการอยากจะเรียนต่อมันถึงยากแบบนี้นะ หรือฉันจะไม่เรียนดีล่ะ ออกมาหางานทำอย่างที่แม่บอกดีไหมบิว” ขวัญนภัสเริ่มจะท้อกับการหาเงินเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย
“อย่าเพิ่งท้อสิ ฉันว่ามันต้องมีทางออก”
“อิจฉาคนที่เขามีเงินเรียนเหมือนกันนะ เรียนอย่างเดียวไม่ต้องมีเรื่องอื่นคิด”
“เดี๋ยวฉันจะลองถามยายให้นะว่าพอจะมีเงินให้แกยืมก่อนไหม” ชุติมณฑ์อยากช่วยเพื่อนแต่ก็ไม่มีเงินมากพอ การขอยืมจากยายน่าจะเป็นทางออกเดียวที่นึกขึ้นได้
“อย่านะบิว ฉันอยากหาเงินเองมากกว่า ถ้าหาเงินไม่ได้ก็ไม่ต้องเรียน”
“ไม่ได้นะเฟิร์นถ้าไม่เรียนแล้วจะไปทำงานอะไรความฝันของแกคือทำงานในบริษัทผลิตเครื่องสำอางไม่ใช่เหรอ”
“อือนั่นคือความฝัน แต่บางครั้งความฝันกับความเป็นจริงมันก็ต้องแยกออกจากกันนะ” ขวัญนภัสพูดแล้วทรุดนั่งลงบนระเบียงหน้าห้อง
“อย่าพึ่งท้อนะแกฉันจะช่วยหาทางออกเอง แต่แกต้องอ่านหนังสือด้วยนะไม่ใช่เอาเวลาไปทำงานพิเศษหมดล่ะ ตอนนี้ทำงานที่ไหนบ้าง”
“ก็แค่ล้างจานที่ร้านหมูกระทะ ส่วนงานอย่างอื่นก็พักไว้ก่อนอยากอ่านหนังสือ แล้วแกล่ะบิวตกลงจะเลือกเรียนอะไร”
“ฉันจะเรียนพยาบาลน่ะ ยายก็เห็นด้วยแต่ไม่รู้จะสอบได้หรือเปล่า”
“แกเรียนเก่งนะบิวยังไงก็ต้องสอบได้อยู่แล้ว แต่ฉันนี่เลือกเรียนยากเกินตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่หรอกน่าแกมีความตั้งใจและก็ขยันฉันว่าแกก็ต้องสอบได้เหมือนกัน”
“แต่ฉันกลัวคะแนนไม่ถึงคณะที่อยากเรียนนะ” ขวัญนภัสกังวลเพราะคณะที่ตนเองเลือกเรียนรับนักศึกษาน้อยและคะแนนก็ค่อนข้างสูง
“ความฝันของฉันสูงเกินไปหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ไม่หรอกน่าคนเรามันก็ต้องมีความหวังสิ ยื่นในคณะที่ตัวเองชอบไปก่อนถ้าไม่ได้ค่อยวางแผนกันอีกที ช่วงนี้ต้องอ่านหนังสือกันหนักหน่อย แกมาอ่านหนังสือที่บ้านฉันไหมจะได้มีสมาธิมากขึ้น”
เพราะคบกันมาตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่หนึ่งชุติมณฑ์เลยพอรู้พื้นฐานครอบครัวของขวัญนภัสว่าเป็นยังไงบ้าง
“ฉันก็อยากไปอยู่หรอกนะ แต่คิดว่าแม่คงไม่ให้ไปเพราะฉันไปใครช่วยแม่ทำงานบ้าน ไหนจะต้องดูน้องอีก”
“แต่ตอนนี้น้องแกก็โตมากแล้วนะ น่าจะช่วยเหลือตัวเองได้แล้วนะ”
“ก็พอช่วยเหลือตัวเองได้นั่นแหละแต่แม่ก็ยังให้ฉันช่วยดูอยู่ดี แม่ต้องออกไปขายของส่วนลุงเกษมก็ขับรถขนส่งไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูกเท่าไหร่”
“แล้วถ้าแกต้องเรียนมหาวิทยาลัยย้ายออกมาอยู่ที่หอใครจะเป็นคนดูแลน้องล่ะ”
“ถ้าสอบได้และได้เรียนจริงๆ แม่ก็คงจะต้องดูแลน้องนั่นแหละ” เมื่อนึกถึงตอนที่ตัวเองจะต้องออกมาอยู่หอพักก็อดเป็นห่วงน้องสาวของเธอไม่ได้
แม้จะมีบิดาคนละคนแต่ความรักและความผูกพันมันก็มากเนื่องจากเธอช่วยเลี้ยงอริสามาตั้งแต่แบเบาะ
หลังเลิกเรียนวันนี้ขวัญนภัสไม่ต้องไปทำงานล้างจานที่ร้านหมูกระทะเนื่องจากทางร้านหยุดหนึ่งวัน เธอจึงนั่งรถเมล์ไปลงที่บ้านของชุติมณฑ์เพราะไม่อยากจะกลับบ้านเร็ว
“สวัสดีค่ะคุณยาย” ขวัญนภัสยกมือไหว้คุณยายของเพื่อนซึ่งเธอจะแวะมาที่บ้านของชุติมณฑ์อยู่บ่อยๆ
“ยายไม่ได้เจอนานเลยเฟิร์นโตขึ้นมากสวยขึ้นมากเลยนะ” ยายศรีจันทร์เห็นขวัญนภัสมาตั้งแต่เด็กจึงอดชมไม่ได้
“ขอบคุณค่ะยาย แต่ยายยังไม่แก่เลยนะคะ”
“ปากหวานอีกแล้วนะ นี่หิวกันมาหรือเปล่า”
“หิวมากเลยค่ะยายทำอะไรให้หนูกับเฟิร์นกินคะ” ชุติมณฑ์
“ยายทำก๋วยเตี๋ยวน่ะ”
“แค่ได้ยินว่าก๋วยเตี๋ยวหนูก็หิวขึ้นมาเลยค่ะ ก๋วยเตี๋ยวฝีมือยายอร่อยกว่าไปซื้อกินอีกนะคะ”
“หนูเฟิร์นนี้ช่างพูดจริงๆ เลยนะไม่เหมือนกับหลานสาวของยายเลย ขานั้นน่ะพูดจาห้วนไม่รู้จักอ้อน ไม่รู้จักเอาอกเอาใจยายเลย”
“แหมก็เราอยู่กันทุกวันนี้คะยาย จะให้หนู้อ้อนยายทุกวันเดี๋ยวยายจะเบื่อ” ชุติมณฑ์หัวเราะก่อนจะเข้ามากอดยายของตนเองอย่างประจบ
“เอาละไปกินกันเถอะ ยายเองก็เริ่มหิวแล้วเหมือนกัน”
ทั้งสามคนนั่งทานก๋วยเตี๋ยวจนอิ่มจากนั้นขวัญนภัสก็อาสาเป็นคนเก็บล้างจานโดยมียายศรีจันทร์นั่งดูอยู่ใกล้ๆ
“หนูเฟิร์นนี่ทำงานบ้านคล่องเหมือนกันนะ”
“ก็ต้องคล่องสิคะยาย เพราะตอนอยู่ที่บ้านยัยเฟิร์นต้องเป็นคนทำความสะอาดบ้าน ซักผ้ารีดผ้าที่บ้านคนเดียวทั้งหมดเลย”
“ตัวแค่นี้ทำงานเยอะขนาดนั้นแล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปอ่านหนังสือละ” คุณยายศรีจันทร์พูดด้วยความเป็นห่วง
“ก็ตื่นมาอ่านตอนเช้าแล้วก็ก่อนนอนค่ะ”
“อีกไม่กี่เดือนก็จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันแล้วแบ่งเวลาให้ดีกันนะลูก”
“ค่ะยาย”
“แล้ววันนี้หนูเฟิร์นเป็นอะไรหรือเปล่าทำไมหน้าตาไม่ค่อยสดใสเลย” คุณยายเป็นคนช่างสังเกตจึงพอมองออกว่าวันนี้เพื่อนของหลายสาวน่าจะมีเรื่องไม่สบายใจอยู่เพราะปกติแล้วขวัญนภัสจะร่าเริงและยิ้มมากกว่านี้
“หนูมีเรื่องให้ต้องคิดนิดหน่อยค่ะยาย”
“เรื่องอะไรล่ะลูกปรึกษายายได้นะ คิดว่ายายเป็นยายของหนูก็แล้วกันนะ”