วันต่อมา
ณ คฤหาสน์กลางทะเลสาบตระกูลลอมบาร์ดี
ตึก ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าก้าวเดินผ่านโถงใหญ่คฤหาสน์หรูของตระกูลลอมบาร์ดี ตระกูลข้าราชการและมีอิทธิทางการเมือง เป็นบ้านของ ‘แกลโล ลอมบาร์ดี’ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมประจำรัฐบาลปัจจุบัน ที่ในอนาคตได้ข่าวมาว่าเขามีสิทธิ์ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในสมัยหน้าและอีกสิ่งที่เขาเป็น...พ่อแท้ ๆ ของฉันเอง
ในฐานะของลูกสาวที่เกิดจากภรรยานอกสมรส เรื่องราวทั้งหมดถูกปิดเป็นความลับจากสังคมภายนอกมาตั้งแต่จำความได้ มีเพียงคนในครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าฉันเป็นใคร นามสกุลของเขาลูกเมียน้อยอย่างฉันไม่ถูกอนุญาตให้ใช้
ตั้งแต่เกิดจนตอนนี้จึงใช้นามสกุลที่ถูกตั้งขึ้นมาใหม่และมีแค่ตัวเองกับแม่เท่านั้นที่ใช้ ตลอดระยะเวลา 26 ปี เรา 2 คนแม่ลูกไม่สามารถตัดขาดและหนีไปจากผู้เป็นพ่อได้เลย แต่ความจริงมีแค่ฉันเท่านั้นที่อยากจะหนี...ไม่ใช่แม่
เธอยังทำหน้าที่เลขาของเขาเหมือนเดิม เหมือนตั้งแต่วันแรกที่ทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน ถ้าฉันตายไปแม่ก็อาจจะถูกส่งตามไปด้วยและถ้าแม่ไม่อยู่...พ่อเลือดเย็น ไร้ความรู้สึกอย่างเขาก็น่าจะส่งฉันตามแม่ไปเช่นกัน
เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไงก็ตาม...ฉันจะตายหลังพ่อตัวเองเท่านั้น
“เชิญนั่งครับคุณหนูและอีกห้านาทีนายท่านจะลงมา ขอให้สำรวมคำพูดกับ....”
“จะไปไหนก็ไป อยากอยู่คนเดียว” เสียงหวานชิงพูดตัดหน้าก่อนที่คนของคฤหาสน์จะพูดจบ พร้อมสายตามองไปเพื่อให้อีกฝ่ายทำตามที่ตัวเองสั่ง
“...ครับ” ซึ่งเขารับคำสั่งนั้นอย่างว่าง่ายและเดินออกไปจากห้องรับรองปล่อยฉันทิ้งเอาไว้เพียงลำพัง
ดวงตากลมมองออกยังนอกหน้าต่าง จากมุมที่นั่งอยู่สามารถเห็นพระจันทร์ยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน ในหัวกำลังทบทวนปฏิกิริยาจากเหล่าคนรอบตัว ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งตอนนี้ลูกน้องของเขานอบน้อมและฟังสิ่งที่ฉันพูดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา รับรู้ได้เลยว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับตัวเองแน่
ครืด!
เสียงประตูบานใหญ่เปิดออกพร้อมเงาสะท้อนในกระจกเห็นถึงผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้ได้ว่าเป็นใคร บรรยากาศภายในห้องยังมีแต่ความเงียบ ฉันยังคงหันหน้ามองนอกหน้าต่าง หางตาเห็นถึงการเคลื่อนไหวของผู้มาเยือนใหม่ที่กำลังนั่งลงยังโซฟาตัวยาวฝั่งตรงข้าม
พระจันทร์ยังน่ามองกว่าเขา มองนก มองไม้ ยังสบายใจกว่าอีก...
“ยูรา” น้ำเสียงที่เอ่ยเรียกชื่อของฉันนั้นไม่รับรู้ถึงความอบอุ่น ความอ่อนโยนเลย
“....” เจ้าของชื่อไม่หันมาตามเสียงเรียก
“อย่าเสียมารยาท”
“....” อีกครั้งที่ฉันโดนดุ ถ้าเป็นเมื่อตอนเด็กคงถูกตีจนเหมือนไม่ใช่ลูกของเขาเพราะขัดคำสั่ง
“เตรียมตัวหมั้นและแต่งงาน” และครั้งนี้สิ่งที่เขาพูดออกมานั้นทำให้ฉันสามารถหันกลับมามองตามเสียงได้ในที่สุด ดวงตากลมเบิกกว้าง หัวใจเต้นแรงกับสิ่งที่ได้รับรู้
“อะไรนะ”
“หมั้น แต่งงาน” คนตรงหน้าพูดอีกครั้งให้ฉันได้ยินชัด ๆ เราสบตา ได้เห็นหน้าพ่อชัดและเก็บภาพของคนที่เกลียดที่สุดเข้ามาในความทรงจำ
“ลูกของคุณก็มีไปจับคู่เอาสิ อย่ามายุ่งกับชีวิตหนู” หมั้น แต่งงาน...เรื่องบ้า ๆ อะไรเนี่ย
“แล้วเธอไม่ใช่ลูกฉันหรือไง”
“...ไม่ได้อยากเป็น” ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันพูด ที่ผ่านมาพูดทุกครั้งไม่ว่าจะต่อหน้าเขาหรือต่อหน้าแม่
“แต่ยังไงก็เป็น เลือดครึ่งหนึ่งในตัวก็เป็นของพ่อคนนี้” เขาพูดด้วยเสียงราบเรียบแต่แฝงไปด้วยความน่ากลัว
“....” ฉันไม่เคยรับรู้ความรักของพ่อเลยสักครั้งในชีวิต กล้าพูดตัวเองว่าเป็นพ่อได้ยังไง
“เตรียมตัวหมั้น จดทะเบียนสมรส เปลี่ยนนามสกุลและเข้าไปอยู่เพื่อเตรียมความพร้อมเป็นภรรยา หลังจากนั้นสองอาทิตย์จะมีพิธีแต่งงาน มีทายาทให้ได้เร็วที่สุด กอดทะเบียนสมรสเอาไว้ให้แน่น ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำตัวยังไงแต่เธอต้องเป็นเมียที่มีทะเบียนสมรสของผู้ชายคนนั้นเพียงคนเดียว” ทุกคำที่ออกจากปากนั้นถูกพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรช่างต่างกับฉันที่ภายในอกกำลังร้อนรนราวกับจะเผาไหม้ไปทั้งร่างอยู่แล้ว
“....” มือเล็กกำแน่นจนเล็บยาวจิกลงกลางฝ่ามือ แต่มันไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเดียว
“การแต่งงานครั้งนี้สำคัญ อีกฝ่ายช่วยหนุนเราได้อย่างดีและสิ่งที่ต้องการก็ไม่ได้ยาก”
“....” สิ่งที่ต้องการ...สิ่งที่เขาต้องการต่างหาก ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวกับฉันสักนิด
“ทำหน้าที่ของลูกสาว ตอบแทนค่าเล่าเรียนและเงินทั้งหมดที่ฉันส่งเสียเธอมา”
“ทำไมไม่ให้โซอี้ลูกสาวสุดที่รักของคุณแต่งงานล่ะ ถ้าอีกฝ่ายจะให้สิ่งที่ต้องการได้ขนาดนั้นแสดงว่าต้องไม่ธรรมดา” ‘โซอี้’ ลูกสาวของภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เธอมีอายุมากกว่าฉันเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ตอนนี้พยายามข่มความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ แม้ว่าความอดทนลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจนใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วก็ตาม
“ฉันไม่ให้โซอี้ต้องไปตกอยู่ในอันตรายหรอกนะ” และคำพูดของผู้เป็นพ่อที่ไม่เคยเห็นฉันเป็นลูกก็ทำให้เส้นความอดทนขาดลง
“อย่าทำเหมือนชีวิตหนูเป็นสิ่งของที่คุณจะจับไปวางไว้ตรงไหนก็ได้ได้มั้ย!” ร่างบางลุกขึ้นเต็มส่วนสูง พูดเสียงดังอย่างหมดความอดทน เสียงของฉันมันดังมากพอที่จะทำให้คนข้างนอกรีบเปิดประตูเข้ามา แต่ถูกเจ้านายของเขายกมือส่งสัญญาณห้ามเอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้
“....” สายตาของเราจ้องมองกัน อีกฝ่ายเงียบและฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดต่อ
“ทุกวันนี้ก็ใช้ชีวิตเงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว เก็บตัวอยู่ในเงาแต่พวกคุณก็ยังไม่เลิกยุ่งกับหนูสักที!”
“....”
“แล้วการแต่งงานบ้าบอคอแตกนี่อีก ถ้าผู้ชายคนนั้นดีหรือมีอำนาจสูงในประเทศจริง ๆ ก็คงยกให้ลูกสาวที่คุณรักไปแล้ว แต่นี่ส่งหนูไปแต่งงานกับใครก็ไม่รู้!”
“....” ดวงตาสีน้ำตาลที่เป็นสีเดียวกับฉันมองมา
“เป็นลูกที่มีประโยชน์ก็แค่สินค้าส่งออก สิ่งของที่เอาไปแลกเพื่อเปิดทางให้ตัวเอง ทำประโยชน์ให้ตัวเองโดยไม่สนว่าหนูจะเป็นจะตายยังไง! และไม่สนว่าจะมีชีวิตที่ทรมานยังไง ต้องเจอกับอะไร เกิดมาก็แค่มีหน้าที่ทำให้คุณพอใจ โคตรทุเรศเลย เฮงซวย!”
“ไปถามแม่ตัวเองเอาสิ ว่าทำไมต้องเป็นคนเสนอตัวเองมา!” อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับฉันแล้วตะคอกเสียงดังใส่กลับมา แต่เพียงคำพูดประโยคเดียวของเขาทำฉันชะงักค้างไปชั่วขณะ
แม่เนี่ยนะ...