5 ไม่อยากเห็นขี้หน้า จะอ้วก

1490 Words
“ไม่ขอโทษ” ถึงจะเจ็บแค่ไหน เธอก็ไม่ยอมขอโทษ เพราะเขาพูดไม่ดีกับเธอก่อน “ไม่ขอโทษใช่ไหม” เขาบีบข้อมือเล็กแรงขึ้นไปอีก “โอ้ย!!” เกลเจ็บจนน้ำตาไหล แต่ก็ไม่ยอมเอ่ยปากขอโทษเขา “เจ็บเหรอ ขอโทษสิ” สายตาคมดุ ออกคำสั่งเธอด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไม่” ตอบทั้งที่เจ็บและน้ำตาไหล มองคนตรงหน้าไม่วางตา “เชี้ยภูมิ มึงทำอะไรน้องวะ/เฮียทำอะไรเพื่อนพริ้มอะปล่อยเดี๋ยวนี้เลยนะ” ภูภูมิยอมปล่อย เมื่อทั้งเพื่อนและก็น้องตามมาเจอ ก่อนจะใช้นิ้วหัวแม่มือ เช็ดเลือดที่มุมปาก มองเกวลินไม่วางตา “ก็เพื่อนพริ้มตบเฮียก่อน เด็กไม่มีมารยาทต้องสั่งสอน” ทั้งที่ตัวเองเริ่มก่อน ด้วยความอคติที่มีต่อคนตรงหน้า “เกลนี่นะตบเฮีย เรื่องจริงเหรอเกล” พริ้มถามเฮีย ก่อนจะหันมาถามเพื่อนรักอย่างเกล “ขอโทษนะพริ้ม แต่พี่ชายแกพูดไม่ดีกับฉันก่อน ฉันไปนะไม่อยากเห็นขี้หน้า จะอ้วก” พูดพร้อมสับเท้าออกไป “เออ ฉันก็ไม่อยากเห็นหน้าเธอเหมือนกันแหละ ยับเด็กไม่มีคนสั่งสอน” เธอเดินไปไกลแล้ว แต่เขายังตะโกนตามหลังด้วยความโมโห “หยุดนะเฮีย หยุดพูดให้เพื่อนพริ้มนะ” พริ้มพลอยตะโกนใส่หน้าผม “ทำไมเฮียจะว่าเด็กนั่นไม่ได้ พริ้มก็เหมือนกันจะคบใครดูให้มันดีๆหน่อย เอาเงินให้เขาไปเท่าไรแล้ว อย่าคิดนะว่าเฮียไม่รู้” แล้วเขาก็หันมาโวยน้องสาว “เฮียนั่นแหละ ไม่รู้อะไรก็อย่าพูด แม่ของเกลนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ต้องการเงินผ่าตัดตั้ง6แสน พริ้มจะให้ยืมเกลยังไม่เอาเลย เงินแค่5พันสำหรับบ้านเรามันเล็กน้อย แต่สำหรับเกลใช้เป็นค่ารถค่าข้าวดูแลแม่ที่รพ.ได้ตั้งหลายวัน ฮือ ฮือ” พริ้มทั้งพูดทั้งร้องไห้ จนพี่ชายอย่างเขาสำนึกแทบไม่ทัน “พริ้มเดี๋ยว” ตึก ตึก ตึก ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร น้องสาวของเขาก็ร้องไห้วิ่งหนีไป “มึงอยู่นี่แหละ เดี๋ยวกูไปดูน้องเอง” ปกป้องรีบวิ่งตามพริ้มพลอยไป “โถ่เว้ย” เขาสบถอย่างดัง พอคิดว่าแม่เด็กนั่นป่วย เขาก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ แถมยังด่าเธอสารพัดอีก “เป็นไงบ้างวะ” ผมยืนรออยู่ที่รถอยู่นาน กว่าไอ้ปกป้องจะเดินกลับมา “ร้องไห้ดิสัส แม่งโมโหเชี้ยอะไรนักหนา โวยวายลามมายันน้องตัวเอง” ไอ้ปกป้องโวยผมใหญ่ “เดี๋ยว เสื้อมึงเปื้อนอะไร” ผมสังเกตเห็นเสื้อมันยับและเปียกนิดหน่อย “ป่าวไม่มีอะไร” มันตอบผมพร้อมมองดูเสื้อตัวเอง “มึงกอดน้องกูเหรอ” ผมถามเสียงเข้ม “น้องมึงกอดกู” มันตอบผมเสียงดัง “มึงกอดตอบไหม” “แค่ลูบหัว” “อย่าคิดเกินเลยกับน้องกู” ผมรีบห้ามมัน มันกับผมก็พอๆกันเรื่องผู้หญิง ผมคงไม่เอาเพื่อนชั่วมาทำน้องเขยหรอก “เฮ้อ กูไม่ยุ่งหรอกแม่ง” มันบ่นให้ผมก่อนจะเดินไปขึ้นรถและพวกเราก็ไปที่อู่เฮียเอก “เกล ฉันขอโทษแทนเฮียด้วยนะ” หลังจากที่ฉันมานั่งสงบจิตสงบใจในห้องเรียนพักใหญ่ จนเริ่มสบายใจขึ้น โดยมีเพื่อนรักอย่างทิชาตามมาปลอบ ในห้องเรียนเวลานี้ไม่มีใคร เพราะทุกคนทำกิจกรรมอยู่ด้านล่างหมด “อืม ช่างมันเถอะ แกเอาเงิน5000คืนก็ได้นะพริ้ม แกกับเฮียจะได้ไม่ทะเลาะกัน” ฉันควักเงิน5000ออกจากกระเป๋า ส่งคืนให้พริ้ม “ไม่เอา ฉันให้แล้วไม่รับคืน ที่เฮียพูดแบบนั้น เพราะเฮียยังไม่รู้จักแกดีต่างหาก ถ้าเฮียได้รู้จักแกฉันเชื่อว่า เฮียต้องเอ็นดูแกมากแน่ๆ แกทั้งนิสัยดีและกตัญญู เด็กผู้หญิงอายุแค่นี้ แต่ต้องแบกรับอะไรไว้หลายอย่าง แกเก่งมากนะรู้ไหมเกล” พริ้มพูดแล้วยิ้มกว้างให้ฉัน “อื้ม ขอบใจแกนะพริ้ม” ฉันยิ้มตอบให้เพื่อนรัก ตอนเย็น “บายนะพวกแก” หลังจากที่เลิกเสร็จกิจกรรม วันนี้เลิกเร็วหน่อย ฉันกับทิชาจะไปหาแม่ที่โรงพยาบาล แต่จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เลยแยกกับพริ้มตอนเดินลงบับได “อ้าวนั่นแล้วแกจะไปไหนพริ้ม” เราแยกกันก็จริง แต่พริ้มไม่ได้เดินไปด้านหน้าโรงเรียน แต่เป็นทางประตูหลังกับทางไปห้องน้ำ “อ้อ พอดีโกรธเฮียอยู่ เลยจะเรียกรถกลับ ไม่อยากเจอหน้าเฮียฉันเลยจะออกประตูหลัง ฉันไปนะ” พูดจบพริ้มก็เดินออกไปเลย ฉันกับทิชาเลยเดินออกมารอรถเมล์ที่หน้าโรงเรียน รอไม่นานรถก็มา สายตาคมดุ นั่งในรถคันหรูสีดำขลับ มองเด็กสาวสองคนกำลังขึ้นรถโดยสารประจำทางไป ก่อนที่เขาจะค่อยๆขับตามรถโดยสารคันนั้นไป โดยไม่รู้เหมือนกันว่าทำไปเพื่ออะไร จนมาถึงป้ายที่4รถเมล์จอดสนิท พร้อมเด็กนักเรียนม.ปลายสองคนก้าวลงจากรถ เสื้อนักเรียนพอดีตัวกับกระโปรงสั้นพอดีสวย มัดผมหางม้าติดด้วยโบว์สีน้ำเงิน ด้านหน้ามีปอยหวานเล็กน้อยสะพายกระเป๋าสีชมพูห้อยพวงกุญแจตุ๊กตาน่ารัก คนนี้ชื่อเกลเขารู้ชื่อแล้ว หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก พอลงรถพวกเธอสองคนก็เดินต่อไปอีกนิดหน่อย ก่อนจะเดินหายเข้าไปในตึกพานิชย์2ชั้น และจะมีป้ายขนาดใหญ่เขียนว่า ข้าวราดแกงแม่กัญญา ”บ้านขายข้าวแกงเหรอ” ผมจอดดูอยู่นาน ก่อนจะเห็นเธอสองคนเดินลงมาอีกครั้ง ตอนนี้เกลอยู่ในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ แต่ตอนนี้ปล่อยผมสยายเต็มแผ่นหลัง เดินคุยกันมาที่ป้ายรถเมล์อีกครั้ง ไม่นานพวกเธอก็ขึ้นรถเมล์ไปอีก แต่รอบนี้มาจอดที่โรงพยาบาล เด็กสองคนเดินหายเข้าไปในโรงพยาบาล ผมเลยเลี้ยวรถกลับบ้าน “แม่คะเป็นไงบ้าง กินข้าวได้ไหม” ฉันแวะซื้อส้มเขียวหวานด้านล่าง ก่อนจะขึ้นมาที่ชั้น3เพื่อเยี่ยมแม่ “กินได้นิดหน่อยนั่นแหละ ข้าวต้มพอกินได้ไม่ปวดท้อง” แน่ละสิ แม่มีปัญหาที่ลำไส้หนิ “เดี๋ยวก็หายได้กลับบ้านแล้วค่ะน้า” ทิชาพูดปลอบใจแม่ฉัน “นั่นหนะสิ เป็นห่วงร้านจะแย่” หลังจากแม่นอนโรงพยาบาล พี่แก้วกับน้ามนที่เป็นลูกน้องของแม่มานานหลายปี ก็ยังทำข้าวแกงขายรอ แต่ก็เหนื่อยกว่าเดิม เพราะแม่ไม่ได้อยู่ช่วย “แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่แก้วกับน้ามนก็ยังขายรอแม่ทุกวัน หายดีเมื่อไหร่ค่อยกลับบ้าน” “ใช่ค่ะน้า แถมยังขายหมดเกลี้ยงทุกวันอีกนะคะ” ทิชาช่วยพูดอีกแรง เพื่อให้แม่สบายใจ และไม่ห่วงงานที่ร้านจนเกินไป “ บอกแก้วกับมนด้วยนะ ว่าให้คิดค่าแรงเพิ่มอีกวันละ 200 แม่ไม่อยู่คงเหนื่อยกันมาก” ปกติน้ามนกับพี่แก้ว จะได้ค่าแรงกันคนละ 450 ต้องตื่นไปตลาดตั้งแต่ตีสอง และกลับมาทำกับข้าว และก็ขายกันจนถึงบ่ายโมง หลังจากนั้นก็ทำความสะอาด และก็กลับไปพักผ่อนได้ “ ได้ค่ะแม่” หลังจากที่พี่แก้วกับน้ามนขายของเสร็จ ก็จะให้ฉันเป็นคนเก็บเงินเอาไว้ และฉันก็จะเป็นคนจัดแจงรายจ่าย บางส่วนก็ต้องเก็บไว้จ่ายค่าเช่าบ้าน “ พอจ่ายค่าเช่าหรือเปล่า” “ พอค่ะแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เงินค่าเช่าตึกก็เตรียมไว้แล้ว รวมค่าน้ำค่าไฟ 15,000 บาทพอดี” ถึงค่าเช่าจะแพงหน่อย แต่อยู่ในเขตชุมชนแบบนี้ ผู้คนพลุกพล่าน ยอดขายก็ดีตามไปด้วย “ ไม่ต้องเฝ้าแม่นานหรอก มีการบ้านก็กลับกันไปทำ อย่าให้ต้องเสียการเรียน ” หลังจากที่พวกเราอยู่กับแม่พักใหญ่ ฉันกับทิชาก็กลับมาที่บ้าน เพราะยังมีการการบ้านที่ค้างอยู่หลายวิชา “ เกล ฉันเห็นในเพจมีรับสมัครเด็กเชียร์เบียร์ที่ผับเปิดใหม่อ่ะ ห่างจากที่พวกเราอยู่ไม่ไกล เราไปลองสมัครกันดูไหม เผื่อจะมีค่าผ่าตัดให้น้ากัญญานะ” ทิชาพูดพร้อมยื่นมือถือมาให้ฉันดู ก็เห็นเป็นการรับสมัครเด็กเชียร์เบียร์และพนักงานอื่นๆอีกหลายอัตรา “ แล้วทำไมต้องเป็นเด็กเชียร์เบียร์อะ แค่เสิร์ฟไม่ได้หรอ” เพราะคำว่าเด็กเชียร์เบียร์ มันก็หมายถึงการบริการลูกค้า ที่แบบถึงเนื้อถึงตัว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD