เจอกันใหม่ชาติหน้า

2456 Words
4 เจอกันใหม่ชาติหน้า ภาวิตออกมาจากโรงพัก พอเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยได้ก็เหยียบคันเร่งออกไปทันที เขามาเป็นตำรวจด้วยเจตนาอยากพิทักษ์ประชาราษฎร์ ทว่าพอไม่กี่ปีหลังจากรับราชการก็แทบสูญสิ้นศรัทธากับวงการตำรวจ กระนั้นก็ใช่จะถูกระบบกลืนกิน ยังคงทำหน้าที่นี้ต่อไปและตั้งมั่นจะไม่ถลำลึกไปกับความเน่าเฟะ ภาวิตในวัยห้าสิบสองปีผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านงานในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาก็หลายหน่วย เขาไม่ได้เป๊ะตงฉินเป็นตำรวจน้ำดี ในขณะเดียวกันกว่าสามสิบปีที่อยู่ในคราบตำรวจก็ไม่เคยทรยศหน้าที่ร้ายแรง ถึงขั้นบิดเบือนความจริงอย่างที่ผู้กำกับมารุตออกคำสั่งแกมบังคับ ก่อนหน้านี้ภาวิตเป็นสารวัตรฝ่ายงานป้องกันและปราบปราม เพิ่งย้ายมาเป็นสารวัตรสอบสวนที่สถานีตำรวจอีกแห่งหนึ่งแต่ยังมีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ภาวิตชินชากับระบบนานแล้ว สายงานตำรวจก็เป็นเช่นนี้ โยกย้ายเป็นว่าเล่นเปลี่ยนตำแหน่งโดยไม่คำนึงถึงความสามารถ เอาตามใจนาย ใครเส้นสายดีหน่อยก็สบายไป ภาวิตชะรอรถเมื่อแล่นผ่านสะพานที่เกิดเหตุ ดับเครื่องยนต์แล้วลงไปมองน่านน้ำที่สายฝนตกกระทบเปาะแปะ ร่างผึงผายยืนตระหง่านทอดสายตาไม่ไหวติงต่อความเปียกแฉะ ทุกชีวิตมีค่าและภาวิตเชื่อว่าครอบครัวผู้สูญเสียควรได้รับความยุติธรรม ผู้กำกับมารุตยอมรับอย่างเลือดเย็นว่าเป็นการจงใจฆ่า แปลว่าทั้งซากรถและศพผู้เสียชีวิตต้องมีความผิดปกติแน่นอน ถึงอย่างไรก็ต้องทิ้งร่องรอยหลักฐานไว้บ้าง สองสามีภรรยาเสียชีวิตในสภาพที่คาดเข็มขัดนิรภัย ตอนกู้ซากรถขึ้นมาทั้งสองอยู่ในสภาพที่สายเข็มขัดรั้งไว้แน่น ส่วนประตูด้านหลังกระจกแตกทั้งบาน คาดว่าเกิดจากตอนที่รถเสียหลักปะทะขอบสะพาน ภาวิตสอบปากคำคนขับรถซึ่งเป็นคนงานที่บ้านของผู้ตาย และทราบว่าสองสามีภรรยากำลังมุ่งหน้าไปสนามบินเพื่อส่งลูกชายขึ้นเครื่องกลับนิวยอร์ก นั่นแปลว่าในรถยนต์มรณะมีด้วยกันสามชีวิต แต่ซากที่กู้ขึ้นมาได้พบเพียงสองศพ ภาวิตคิดว่าตอนที่รถจมดิ่งลูกชายอาจพยายามตะเกียกตะกายจนสามารถออกไปได้ แต่ด้วยกระแสน้ำเชี่ยวกรากและฝนที่ตกอย่างหนักก็ไม่รู้ว่าเขารอดพ้นจากความตายจริงหรือไม่ จนป่านนี้ผ่านพ้นไปยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วยังไม่พบวี่แววของเขา นักประดาน้ำก็ถอนกำลังกันหมดแล้ว ตำรวจที่ลาดตะเวนตรงป่าละเมาะก็ไม่พบร่องรอยอะไร ส่วนหนึ่งอาจเพราะฝนตกหนักจนชะล้างร่องรอยหมดแล้ว ภาวิตคิดว่าหากลูกชายผู้ตายรอดชีวิตจริงก็คงติดต่อกลับมายังเจ้าหน้าที่ หรือไม่ก็ติดต่อไปหาญาติ แต่ฝั่งญาติผู้ตายก็ไม่มีรายงานความคืบหน้าของเด็กหนุ่มเช่นกัน ภาวิตก้มหน้าเครียด ส่งคำมั่นในใจถึงวิญญาณผู้ล่วงลับว่าตนจะพยายามคืนความยุติธรรมให้ เมื่อไว้อาลัยจนพอใจก็กลับขึ้นรถแล้วขับออกไปจากจุดเกิดเหตุ ...... ยี่สิบนาทีต่อมา รถกระบะสีบรอนซ์ก็จอดเทียบหน้ารั้วที่ดอกพวงชมพูพันเลื้อยหอมฟุ้ง ภาวิตป้องฝ่ามือบังสายฝนขณะวิ่งเข้าไปในบ้านสองชั้นขนาดกลาง ริมฝีปากสีคล้ำกำลังจะเรียกหาคู่ชีวิต แต่ภาพข้าวของกระจัดกระจายในห้องนั่งเล่นราวกับสั่งให้เขาหุบปากฉับ “พี่...” เสียงแหบพร่าดังอยู่ข้างในครัว ภาวิตเร่งฝีเท้าไปหาภรรยาที่นอนแหมะกับพื้นมีเลือดไหลที่ศีรษะ “น้ำผึ้ง! เกิดอะไรขึ้น” “พี่ไปช่วยลูก...ลูก...” สายน้ำผึ้งร้องบอกเสียงสั่นพลางเหลือบดวงตาขึ้นไปยังชั้นสอง ภาวิตผละจากภรรยาแล้วรีบวิ่งไปยังห้องลูกสาว “ชมพู!” คนเป็นพ่อหัวใจแทบหลุดจากขั้วเมื่อเห็นลูกนอนกุมท้องตัวงออยู่บนเตียง “พ่อ ฮือๆ หนูกลัว” เด็กสาวโผกอดบิดาแนบแน่นร้องไห้สะอื้นตัวโยน มือสั่นเทาของพ่อลูบปลอบแผ่นหลังพลางกวาดมองห้องลูกทั่วทิศ “หนูเป็นไรมั้ย มันเกิดอะไรขึ้น โจรเหรอ” ภาวิตเช็ดคราบน้ำตาให้ลูกสาว ริมฝีปากเล็กยังสั่นระริกอย่างน่าสงสาร พวงชมพูยังอยู่ในภาวะขวัญกระเจิงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “ผู้ชายตัวโตสองคน ใส่แมสก์บังหน้า มันค้นข้าวของกระจาย ทำร้ายแม่และก็...และ...” เสียงคนเล่าไม่หยุดสั่นเครือ ดวงตายังไหวระริก “และอะไรลูก ไม่ต้องกลัวนะพ่ออยู่นี่แล้ว” “พวกมันจะข่มขืนหนู มันตบหน้าหนูและก็ชกท้อง แต่เพราะเสียงรถของพ่อมันเลยไม่ทันทำอะไร หนูกลัว” คนเล่าน้ำหูน้ำตาไหล ยังจำดวงตาหิวโซไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่คร่อมอยู่บนร่างเธอ ความหวาดหวั่นยังชัดในความรู้สึก หากบิดามาไม่ทันพวงชมพูไม่อยากคิดเลยว่าโลกของเธอจะล่มสลายแค่ไหน ภาวิตกอดปลอบขวัญลูกสาว ฟันบนล่างขบกันกรอด ไอ้โจรพวกนี้มันไม่รู้หรือไงว่าบ้านหลังนี้เป็นที่คุ้มหัวครอบครัวตำรวจ กล้ามาทำร้ายลูกเมียเขาแบบนี้ไม่มีทางปล่อยไว้แน่ “เดี๋ยวพ่อรับโทรศัพท์ก่อนนะ หนูไหวไหมลงไปดูแม่ให้หน่อย แม่น่าเป็นห่วงเหมือนกัน โทร.บอกพี่พุดให้รีบกลับบ้านด่วนเลย” เสียงโทรศัพท์ที่ดังสั่นในกระเป๋ากางเกง ภาวิตเลยต้องผละจากลูกสาว พวงชมพูเช็ดหน้าเช็ดตาและประคองตัวเองลงไปด้านล่าง ชื่อผู้ติดต่อที่โชว์หราบนหน้าจอมือถือคือผู้กำกับมารุต สัญชาตญาณบางอย่างพุ่งวาบเข้ามาในกระแสความคิด ภาวิตจึงกดรับสายอย่างไม่พิรี้พิไร “ครับท่าน” “ผมเตือนคุณแล้วนะว่าทำตามที่ผมบอกให้จบๆ ไป” “หึ! ฝีมือคุณเหรอที่ทำร้ายลูกเมียผม” “เปล่า ไม่ใช่ผม แต่ก็นะ คุณคงรู้ๆ อยู่ว่าที่เป็นแบบนี้เพราะคุณไม่ทำตามที่ผมสั่ง มันไม่ยากและไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเรื่องจะแดง ผมหนุนหลังคุณอยู่แล้ว หลักฐานทุกอย่างอยู่ในมือเราแค่คุณสรุปให้เป็นอุบัติเหตุแค่นี้ก็จบ และหลังจากจบคดีนี้ผมจะช่วยดันให้คุณได้ขึ้นเป็นรองผู้กำกับ” “ใครเหรอครับที่อยู่เบื้องหลังนี้ ใครที่ซื้อคุณ” “อ๋อ ฮ่าๆ ถามแบบนี้ก็เพิ่งนึกขึ้นได้แฮะ จริงสินะ ผมก็เอาแต่บังคับขอร้องคุณ ลืมเรื่องเบสิคไปได้ยังไงว่าต้องเสนอเงินตอบแทน เอางี้นะ เดี๋ยวผมไปคุยกับเขาให้ถ้าคุณยอมทำตามที่เขาต้องการ ตกลงว่าคุณจะไม่ตงฉินแล้วใช่มั้ย เห็นแก่ครอบครัวเถอะนะ เรื่องเล็กแค่นี้อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่เลย” “ครับ ตามนั้น” ภาวิตโกรธจนหนังหน้ากระตุก เขาทนสะอิดสะเอียนสนทนากับเหลือบไรไม่ไหวอีกต่อไปจึงตอบรับแล้วกดวางสายทันที ความเป็นความตายของคนที่รักจะมาเสี่ยงกับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ ลูกสาวตัวน้อยคงโดนกระทำชำเราหากเขากลับมาไม่ทัน ภรรยาเจ็บหนักถึงขั้นเลือดตกยางออก การข่มขู่นี้เลวร้ายเกินกว่าที่ภาวิตจะเสี่ยงเพื่ออุดมการณ์ ผู้อยู่เบื้องหลังเป็นใครเขาไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คงล่าตัวเขาและครอบครัวสุดหล้าฟ้าเขียวหากไม่บันดาลสิ่งที่มันปรารถนา .......... “เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” “จัดการเรียบร้อยแล้วครับ คุณทินไม่ต้องห่วงนะ รับรองว่าในพื้นที่สื่อและการสอบสวนจะไม่มีการตั้งข้อสงสัยว่าไม่ใช่อุบัติเหตุ” พันตำรวจเอกมารุตรายงานทินวุฒิผ่านสัญญาณทางไกล “ดีมากครับ ผมก็คิดไว้แล้วว่าเรื่องง่ายๆ แค่นี้คงไม่คณามือผู้กำกับหรอก ส่วนศพจะเอาไปปู้ยี้ปูยำนานแค่ไหนก็เชิญ ผมไม่รีบ ดีซะอีก ให้ชันสูตรละเอียดแบบนี้ก็เท่ากับแสดงความบริสุทธิ์ใจของผมไปด้วย ว่าแต่มีวี่แววจะเจอศพลูกชายของพี่ผมมั้ย” ทินวุฒิแกว่งแก้ววิสกี้ในมือ พลางเหล่มองนักศึกษาหนุ่มที่เดินมานั่งตรงข้าม สายตาแสดงออกชัดว่าสนใจในสิ่งที่พ่อกำลังคุยกับปลายสาย “ไม่เจอครับ ผมว่ามีความเป็นไปได้ที่ศพจะจมหายใต้น้ำ หรือไม่ก็โดนตัวเงินตัวทองแทะจนไม่เหลือซาก” “คุณมั่นใจนะว่าไอ้เด็กนั่นมันตายแล้ว” “ก็...เอ่อ มั่นใจครับ น้ำลึกมากนะครับ แล้วช่วงหน้าฝนกระแสน้ำก็เชี่ยวกรากด้วย แรงชนของรถก็ไม่ใช่เล่นๆ อาจจะบาดเจ็บและเสียชีวิตทันทีตอนปะทะกับสะพาน ด้วยความที่ไม่ได้คาดเข็มขัดและกระจกข้างหลังก็แตกทั้งบาน ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ศพอาจลอยออกจากรถไปเอง” แม้ให้ข้อสันนิษฐานเป็นฉากๆ แต่น้ำเสียงของมารุตก็ใช่จะมั่นอกมั่นใจ “โอเค ผมจะคิดว่ามันตายไปแล้วเหมือนที่ผู้กำกับว่าล่ะกัน คุณทำงานดีมาก เดี๋ยวลูกน้องผมจะเอาเงินสดไปให้ที่เชียงใหม่ แค่นี้นะครับ หวังว่าจะได้ร่วมงานกันอีกยาวๆ” ทินวุฒิหัวเราะตบท้ายก่อนกดวางสาย กระดกวิสกี้จนหมดแก้วแล้วหันไปทักลูกชายที่ขมวดคิ้วมุ่น “ไงซัน ทำไมทำหน้าแบบนั้น” “หมายความว่าไงครับ พ่อคุยโทรศัพท์กับใคร พ่อพูดถึงเรื่องอะไร” ทินภัทรหรือซัน นักศึกษาชั้นปีที่หนึ่งคณะนิเทศศาสตร์ ย่นคิ้วมองบิดาที่กระตุกยิ้มหยันแววตาเยือกเย็น “แกก็โตแล้วเนอะ คงเข้าใจในสิ่งที่พ่อทำ ตอนนี้เราเหลือกันอยู่สองคนพ่อลูกก็ไม่รู้จะปิดบังแกทำไม ต่อจากนี้ไปตระกูลกาลกุลพิทักษ์ก็มีแค่พ่อกับซัน ในที่สุดก็มีวันนี้สักที” ทินวุฒิขยายยิ้มกว้าง เอนศีรษะซบพนักโซฟา ปิดเปลือกตาอย่างภาคภูมิใจกับชัยชนะ “…” ทินวุฒิกลับมานั่งตัวตรง ดวงตาเปี่ยมสุขจ้องสบทินภัทร “การตายของลุงทัตและน้าจาเป็นฝีมือพ่อเอง” “อะไรนะ! นี่...นี่พ่อฆ่าคนเหรอ” ช็อกยิ่งกว่านั้นคือคนที่บิดาฆาตกรรมเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน “ใช่ ซันอย่ามองพ่อด้วยสายตาแบบนั้นสิ นี่พ่อไงไม่ใช่สัตว์ประหลาด ถ้าแกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพ่อก็คงทำแบบนี้เหมือนกันแหละ พ่อเป็นลูกที่ปู่แกไม่รัก โดนคนในสังคมเปรียบเทียบนินทาว่าแม้แต่เงาของพี่ทัตฉันก็เป็นไม่ได้ แกไม่รู้หรอกซันว่าพ่อเก็บกดแค่ไหน ความเจ็บความแค้นมันอัดอยู่ในใจมาตั้งแต่เด็กจนโต อะไรๆ พี่ทัตก็ได้มากกว่า โดดเด่นดีกว่าทุกอย่าง เหมือนฉันเป็นลูกคนใช้ส่วนเขาเป็นลูกเมียหลวง ทั้งๆ ที่เราก็มีแม่คนเดียวกัน พอปู่แกตายก็ดันยกสมบัติให้มันมากกว่า แม้แต่ความรักครั้งสุดท้ายก่อนตายปู่แกก็ให้อย่างเท่าเทียมไม่ได้!” “พ่อต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ แล้วไอ้ธามมันตายจริงมั้ย” ทินภัทรอ่อนวัยกว่าธนนท์หนึ่งปี แต่ไม่คิดจะเรียกพี่ให้กระดากปาก ไม่มีความอยากนับถือ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้นเกลียดขี้หน้าเป็นมาตั้งแต่ตอนไหน รู้ว่าตั้งแต่จำความได้ก็ไม่ชอบลูกพี่ลูกน้องคนนี้แล้ว ทินภัทรช็อกกับสิ่งที่บิดาทำลงไปก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่เห็นด้วย หรือมองว่าพ่อใจคอโหดเหี้ยมเกินไป “มันไม่รอดหรอก ถ้ายังหายใจอยู่ป่านนี้คงติดต่อมาหาเราแล้ว” “พ่อทำยังไงถึงตายกันยกครัว แล้วแน่ใจเหรอว่าตำรวจจะไม่สาวถึงพ่อ” “อย่าห่วงเลยน่า กฎหมายประเทศนี้ซื้อได้ด้วยเงิน อามารุตที่พ่อเคยแนะนำให้ซันรู้จักเมื่อปีก่อนจำได้มั้ย” เมื่อลูกชายคนเดียวพยักหน้าทินวุฒิจึงเล่าต่อ “นั่นแหละคือคอนเนคชั่นที่ดีของเราเสมอมา เขาเป็นผู้กำกับที่สถานีตำรวจที่รับผิดชอบคดีนี้ และบังเอิญช่วงนี้ลุงทัตของแกก็ขึ้นไปเชียงใหม่บ่อยด้วยสิ พ่อก็เลยออกแบบการตายได้ง่ายหน่อย พ่อให้ไอ้พนคนขับรถของพี่ทัตใส่ไซยาไนด์ในอาหารและน้ำดื่มของครอบครัวนั้น จากนั้นก็สร้างอุบัติเหตุให้สมจริง จ้างคนมาขับรถตัดหน้าให้มันเสียหลักชนขอบสะพาน” “เดี๋ยวนะพ่อ ผมไม่เข้าใจ ก็ในเมื่อพ่อเซ็ตอุบัติเหตุรถชนไว้แล้ว และทำไมต้องวางยาพิษให้กินด้วยล่ะ” “ก็กันไว้เผื่อมันไม่ตายจากรถชนไงล่ะ แต่เรื่องที่คาดไม่ถึงคือรถดันพุ่งตกน้ำไปเลย” “จริงๆ ไม่เห็นต้องทำให้ยุ่งยากขนาดนี้ ในเมื่อพ่อมีแบ็คดีคอยเขียนสำนวนปลอมๆ ให้อยู่แล้ว” ทินภัทรส่ายหน้าไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าพ่อจะวางแผนซับซ้อนไปทำไม “แต่ถ้าพ่อวางยาพิษครอบครัวนั้นก็แปลว่าโอกาสที่ไอ้ธามมันจะตายก็มีสูง ถึงอุบัติเหตุไม่ฆ่ามัน แต่ยาพิษก็ทำให้มันตายได้” “นั่นสินะ พ่อก็ลืมไปเลย เสียเวลากังวลตั้งนานว่ามันอาจจะรอด” ทินวุฒิไม่คิดว่าตนโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ อย่างน้อยส่วนลึกข้างในก็รู้สึกโหวงๆ เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป รู้สึกใจหายกับการจากไปของพี่ชาย กระนั้นก็ยังยืนยันความคิดเดิมว่าไม่ได้เสียใจที่ตัดสินใจส่งธนากรกลับเมืองวิญญาณ เขาหน่ายพี่ชายเต็มที ยิ่งพ่อแม่ตายจากยิ่งตั้งตัวเป็นผู้ปกครองเขา สั่งสอนนั่นห้ามทำโน่นนี่ทั้งที่เขาเองก็อายุปูนนี้แล้ว การฆ่าพี่ชายไม่ใช่ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ใครเห็น ทินวุฒิแค่อยากปลดแอกความรู้สึกของตัวเอง ไม่อยากอยู่ใต้ร่มเงาของพี่ชาย เกลียดจะฟังคำค่อนแขวะจากคนในสังคมว่าจนทินภัทรโตเป็นหนุ่ม ทินวุฒิก็ยังไม่หยิบจับทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ กิจการงานที่พี่ชายสร้างไว้ถึงอย่างไรทินวุฒิก็ต้องรับช่วงต่อ ในช่วงแรกๆ ก็คงทำสร้างภาพไปอย่างนั้น ทำให้ชาวบ้านเห็นว่าเขาจะรับผิดชอบดูแลงานทุกอย่างเอง แล้วพอเวลาผ่านไปสักพักก็ค่อยว่ากันอีกที แล้วเจอกันใหม่ชาติหน้านะพี่ชาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD