เมริญาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโชคดีที่หมอช่วยชีวิตเอาไว้ได้ทัน ทว่าหลังจากที่เธอฟื้นขึ้นมากลับต้องอยู่ในสภาวะของโรคTGA โรคที่ทำให้เกิดการสูญเสียความทรงจำอย่างฉับพลัน
ระหว่างนั้นอลันก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เอาแต่โทษตัวเองว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวไม่สบาย จนตัวเขาล้มป่วยลงไปอีกคน
"คนไข้ความดันตกมีสภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ ซึ่งสาเหตุเกิดจากความเครียด"
"แล้วอาการของคุณพ่อร้ายแรงมั้ยคะ คุณหมอช่วยรักษาท่านด้วยนะคะ ต้องจ่ายเท่าไหร่ดิฉันก็ยอมค่ะ"
"คุณไม่ต้องกังวลไปนะครับ อาการไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่คิด ช่วงแรกหมอจะรักษาด้วยการให้ยาตามอาการ ระยะนี้ห้ามให้มีเรื่องกระทบต่อจิตใจ อย่าทำให้คนไข้เครียดนะครับ"
"ค่ะคุณหมอ ขอบคุณนะคะ"
น้ำรินยกมือไหว้ขอบคุณหมออย่างนอบน้อม
ตอนนี้น้ำรินจึงกลายเป็นเสาหลักของบ้าน ที่ต้องดูแลทั้งบริษัทและอาการเจ็บป่วยของคนสำคัญทั้งสองคน แต่เธอก็เต็มใจ เพราะอลันคือผู้มีพระคุณที่เก็บลูกกำพร้าพ่อแม่อย่างเธอมาชุบเลี้ยง จนเติบโตเป็นผู้เป็นคนมาถึงทุกวันนี้ ทั้งชีวิตของน้ำรินจงรักภักดีกับอลันและเมริญามากกว่าสิ่งอื่นใด
"ดึกมากแล้วคุณรินกลับไปพักเถอะครับ ผมจะดูแลนายท่านเอง" ภาคินขันอาสาระหว่างดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวให้อลัน
"รินคิดว่าจะอยู่เฝ้าอีกสักคืนค่ะ เป็นห่วงคุณพ่อกับเมญ่า"
"พี่ว่ารินกลับไปพักหน่อยเถอะ เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกคนหรอกครับ"
ระหว่างนั้นเป็นหนึ่งแฟนหนุ่มของน้ำรินก็เดินเข้ามาภายในห้องพักฟื้นพิเศษ
เป็นหนึ่งเป็นเจ้าของบริษัทนำเข้าและส่งออกอะไหล่รถยุโรป เป็นคู่ค้ากับบริษัทของอลันและพ่วงตำแหน่งแฟนของน้ำรินมาได้ปีเศษแล้ว
"รินอยากอยู่เฝ้าเมญ่าค่ะ กลัวว่าจะหนีไปอีก"
"ที่นี่มีทั้งหมอและพยาบาลที่เราจ้างมาพิเศษ ไหนจะภาคิน ป้านีที่มาช่วยอีก น้ำรินเหนื่อยเฝ้าไข้สามวันแล้วนะครับ ถ้าล้มป่วยไปอีกคนจะทำยังไง"
"ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ รินแข็งแรงจะตายไป" แต่หญิงสาวยิ้มบางๆ แม้จะเหนื่อยเบลอจนจะวูบ แต่ถ้าเมริญาหายไปอีกอาการของอลันต้องทรุดกว่านี้แน่ๆ
"แข็งแรงยังไงก็เป็นคนนะครับ ไม่ใช่มนุษย์เหล็ก"
"แต่…" น้ำรินยังพูดไม่จบเป็นหนึ่งก็แทรกขึ้นด้วยท่าทีตัดพ้อ
"ยิ่งรินเป็นแบบนี้พี่ยิ่งอยากแต่งงานเร็วๆ จะได้พาออกไปอยู่ด้วยกันแล้วเปลี่ยนมาห่วงพี่ ห่วงตัวเอง ไม่ใช่ห่วงแต่คนบ้านนี้"
เป็นหนึ่งกอดอกแล้วเสมองไปทางอื่น สีหน้าของเขาแสดงออกว่าไม่พอใจอย่างชัดเจน เมื่อน้ำรินเอาแต่ดูแลคนที่บ้านจนแทบไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเองเลยสักครั้ง เวลาที่จะอยู่กับเขาแบบส่วนตัวนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
"คุณรินกลับไปพักเถอะครับ ผมอยู่ทางนี้ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจะรีบโทรไปบอกทันที"
ภาคินแทรกขึ้นด้วยกลัวว่าทั้งคู่จะทะเลาะกัน
"ก็ได้ค่ะ รินฝากทางนี้ด้วยนะคะ มีอะไรโทรหาน้ำรินได้ตลอดเวลาเลย"
"ครับ"
"ถ้าอย่างนั้นก็กลับกันเถอะค่ะ"
น้ำรินยิ้มบางๆ แล้วเอื้อมมือไปกุมมือของเป็นหนึ่งเอาไว้อย่างเอาใจ ทำให้เขาหันมามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนดังเดิม เป็นหนึ่งมักไม่พอใจเสมอเมื่อเห็นเธอดูแลพ่อกับน้องสาวดีกว่าตัวเธอเอง
เขามองว่าน้ำรินทำตัวไม่ใช่ลูกแต่เป็นคนรับใช้มากกว่า
น้ำรินผล็อยหลับไประหว่างเดินทาง พอตื่นขึ้นมาก็พบว่ารถยนต์หรูไม่ได้จอดอยู่ที่บ้านของเธอ ทว่าจอดสนิทอยู่ในลานจอดรถคอนโดของเป็นหนึ่ง
"ทำไมไม่ไปส่งรินที่บ้านคะ มาที่คอนโดพี่ทำไม"
"คืนนี้นอกนี่เถอะ คอนโดพี่ใกล้โรงพยาบาลอีกอย่างพี่อยากอยู่กับรินด้วย" เป็นหนึ่งยิ้มกริ่มแล้วโน้มเข้าไปหอมแก้มของน้ำริน
"แต่รินไม่มีชุดเปลี่ยน ไปส่งรินที่บ้านเถอะ"
เป็นหนึ่งไม่ได้สนใจที่เธอบอก รีบเดินลงจากรถแล้วอ้อมมาเปิดประตูรถออกกว้าง
"รีบลงจากรถเถอะ ฝนจะตกแล้ว ถ้าเราฝืนขับรถกลับตอนนี้อันตรายเกินไป"
มองออกไปบรรยากาศด้านนอกก็พบว่าเป็นอย่างที่เป็นหนึ่งบอก ท้องฟ้าสีรัตติกาลไร้แสงจากดวงดาวมีเพียงสายฟ้าที่ฟาดลงพร้อมกับเสียงร้องโครมครามของท้องฟ้าที่กำลังก่อตัวเป็นเมฆฝน ทำให้น้ำรินยอมตามเป็นหนึ่งขึ้นไปบนคอนโด
หลังจากอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องก็ต้องแปลกใจ เมื่อภายในห้องโถงขนาดหนึ่งร้อยหกสิบตารางวาถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่ดินเนอร์ใต้แสงเทียนของทั้งคู่
"เซอร์ไพรส์"
เป็นหนึ่งที่อยู่ในชุดผ้ากันเปื้อนลายแตงโมเช็ดมือลวกๆ แล้วผายมือไปทางโต๊ะรับประทานอาหารสำหรับสองคนตรงมุมห้อง ติดกับผนังกระจกที่ทำให้มองออกไปเห็นวิวเมืองยามค่ำคืนได้อย่างชัดเจน
"พี่หนึ่งทำอะไรบ้างคะเนี่ย "
"มื้อพิเศษ สำหรับคนพิเศษของพี่ แค่บะหมี่ได้ไงครับ เอาเป็นว่าไม่พูดมากแล้วกันมาทานกันเลยดีกว่า"
"รินลงมือเลยนะคะ หิวจนแสบท้องไปหมดแล้ว"
"มาครับลองทานสลัดผักนี่ดู ผักสดๆ จากสวนออแกนิค พี่เลือกมาไว้สำหรับน้ำรินโดยเฉพาะเลยนะ"
เขารีบตักซีซาร์สลัดที่ทำจากผักออร์แกนิคลงบนจานให้ ซึ่งเธอก็ค่อยๆ ละเมียดตักอาหารแต่ละอย่างเข้าปาก รู้สึกคุ้นเคยกับรสชาติอาหารทุกอย่างตรงหน้าเป็นอย่างดี
"ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่สั่งอาหารจากร้านโปรดมาให้น้ำรินได้ทานนะคะ"
"โธ่ รู้ทันจนได้"
เป็นหนึ่งยิ้มอาย พูดถูกที่สุดเพราะเขาไม่ได้ทำอาหารเอง แต่สั่งมาจากร้านโปรดของหญิงสาวต่างหาก
หลังจากทานข้าวเสร็จเป็นหนึ่งก็จัดการงานครัวด้วยตัวเอง ร่างเล็กยืนกอดอกมองบรรยากาศฝนตกผ่านทางผนังห้องแบบกระจกภายในห้องนอนหรู เธอหลับตาพริ้มคล้ายกำลังต่อสู้กับบางสิ่งภายในใจ ตอนนี้หัวใจของเธอแกร่งขึ้นมากถ้าเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เมื่อก่อนเพียงแค่เห็นแสงจากฟ้าแลบเธอก็ต้องนั่งงอตัวกอดเข่าร้องไห้แล้ว มันทำให้เธอนึกถึงภาพจำวันที่สูญเสียพ่อแม่ไปอย่างไม่ได้ล่ำลา
"ทำไมยังไม่นอนอีกครับ"
สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกเป็นหนึ่งสวมกอดจากทางด้านหลัง จมูกคมคลอเคลียอยู่บนแก้มนวลข้างขวาของเธอ ราวกับลูกแมวอ้อนเจ้านาย
"เอ่อ...รินกำลังจะนอนแล้วค่ะ"
หญิงสาวหมุนตัวหันมาเผชิญหน้ากับแฟนหนุ่ม ขยับออกเว้นระยะจากเขาเล็กน้อยพลางยกมือขึ้นจับปอยผมทัดหูด้วยความประหม่า
"วันนี้พี่หนึ่งจะนอนตรงไหนดีคะ ในห้องหรือโซฟาด้านนอก"
เธอถามอย่างตรงไปตรงแล้วก้าวไปหยิบหมอนบนเตียงนอนมากอดแนบอกเอาไว้ ทว่าเป็นหนึ่งกลับเดินตามมาแล้วโอบกอดเธอเอาไว้อีกครั้ง
"รินครับ อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้วนะ"เป็นหนึ่งกระซิบลงข้างใบหูเล็กซึ่งก็เบี่ยงหลบ บางครั้งเขาก็ไม่ชอบเลยกับท่าทีหวงเนื้อหวงตัวมากเกินไปของเธอ
"ปล่อยก่อนค่ะพี่หนึ่ง รินทานข้าวอิ่มมาก รู้สึกอึดอัดสุดๆ เลยค่ะ"
พยายามแกะแขนแกร่งที่กอดรัดอยู่เอวคอดออก ท่ามกลางหัวใจดวงน้อยที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นหนึ่งในวันนี้แปลกไปกว่าเดิมและคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ ถ้ายังอยู่กับเขาสองต่อสองในห้องนี้
"รินก็รู้พี่คิดอะไรอยู่ อย่าใจแข็งนักเลยครับ"
น้ำเสียงแหบพร่าของเป็นหนึ่งเต็มไปด้วยไฟปรารถนา เป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่เขาไม่เคยล่วงเกินมาตลอดเวลาที่คบหากัน และเขาคิดว่าคงปล่อยเธอเอาไว้นานเกินไปแล้ว
"อย่าค่ะ รินรู้ว่าพี่คิดอะไรแต่รินไม่อยากให้เป็นแบบนั้น"
"ทำไมล่ะริน คนเป็นแฟนกันใครๆ เขาก็ทำเรื่องอย่างว่ากันทั้งนั้นแหละ"
"แต่ไม่ใช่ริน ปล่อยแล้วถอยออกไปค่ะ"
เริ่มขึ้นเสียงและพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากอ้อมกอดของเป็นหนึ่ง แต่เขากลับกระชับกอดแล้วโน้มลงซุกไซ้ซอกคอขาวละเอียดของเธออย่างหื่นกระหาย
"อย่าเล่นตัวนักสิครับ"
"ปล่อยนะพี่หนึ่ง รินบอกให้ปล่อยไง!"
ตกอยู่ในอาการหวาดกลัว เธอไม่คิดว่าแฟนหนุ่มจะกล้าทำเรื่องแบบนี้กับเธอในวันที่เธอไม่พร้อม
“เถอะน่าริน…”
“บอกว่าไม่ไงล่ะ”
ตุ๊บ! ตุ๊บ!
"โอ๊ย! ทำบ้าอะไรวะ"
โชคดีที่มีสติพอที่จะใช้เท้ากระทืบลงบนหลังเท้าของเป็นหนึ่ง ด้วยแรงที่มีทั้งหมดจนเขายอมปล่อย
เจ้าตัวกระโดดโหยงเหยงขาเดียวถอยออกห่างเมื่อความเจ็บปวดเล่นงานหลังเท้าของเขา
"พี่นั่นแหละทำบ้าอะไร ถอยออกไปนะ ถ้าไม่ถอยพี่ได้หัวแบะแน่!"
คว้าโคมไฟหัวเตียงเอาไว้ในมือแล้วยกขึ้นขู่จะฟาด ตอนที่เป็นหนึ่งทำท่าจะเข้ามาหาเธออีกครั้ง ไม่ได้เล่นตัวเกินงาม แต่กำลังคลางแคลงใจเรื่องที่เป็นหนึ่งมีคนอื่น ทว่าอยากรักษาน้ำใจและคิดว่าเขาจะปรับปรุงตัวเองจึงยังไม่เคยพูดออกไป
"พี่ว่าเรามาคุยกันดี ๆเถอะ รินคงไม่อยากให้ธุรกิจคุณอลันมีปัญหาหรอกนะ คิดดูนะถ้าอะไหล่รถยนต์ล็อตใหญ่ที่สั่งไปไม่มาจะเกิดอะไรขึ้น"
เป็นหนึ่งงัดไม้ตายออกมาขู่ ทว่ากลับฟาดโคมไฟเข้าใส่เขาจนต้องกระโดดหลบไปอีกทาง
พรึ่บ!
"โอ๊ย! มึงอยากตายหรือไง"
"บอกให้ออกไปไง!"
หญิงสาวไม่สนใจผลเสียจากธุรกิจที่เขาอ้าง แต่เลือกตวาดใส่แถมยังยกโคมไฟขึ้นฟาดใส่ไม่ยั้งอีก ดวงตากลมโตจ้องเขม็งไปที่เป็นหนึ่งอย่างเอาเรื่อง แม้หัวใจดวงน้อยจะกระหน่ำเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัว กระทั่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นระดับอกแสดงความยอมแพ้
"ได้ ริน ได้!"
"ออกไปจากห้องนี้ด้วย"เธอออกคำสั่งแล้วพยักหน้าไปทางประตู
"เฮ้ย! นี่มันห้องกูนะเว้ย"
"ถ้าไม่ไปรินจะฟาดต่อ"
"เออๆ อีบ้าเอ๊ย! เล่นตัวไปเถอะ อย่ามาเสียใจทีหลังก็แล้วกัน! กูจะไม่ช่วยพวกมึงแล้วเตรียมถูกฟ้องล้มละลายได้เลย อีพวกตระกูลผู้ดีแต่ไส้กลวง"
ชายหนุ่มเตะลมเตะแล้งระบายโทสะ ยอมเป็นฝ่ายเดินออกจากห้องไป ที่ผ่านถ้าไม่ติดว่าต้องรักษาความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับอลัน เขาก็คงไม่ต้องทนอยู่กับผู้หญิงไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างมาจนถึงทุกวันนี้
เธอก็แค่ลูกกำพร้าที่อลันเก็บมาเลี้ยงไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขผู้รากมากดีที่ควรคู่กับเขาเลยสักนิด และตอนนี้บริษัทคู่ค้าของอลันเข้าขั้นวิกฤตเป็นหนึ่งก็ไม่ต้องรักษาความสัมพันธ์นี้อีกต่อไป
"ไอ้เลวเอ๊ย"
ถึงกับสบถหยาบ หมดสิ้นแล้วความรัก ในที่สุดเขาก็เปิดเผยความเลวออกมาจนได้ เธอทิ้งตัวลงนั่งกับเตียงนอนอย่างหมดแรง โดยที่มือก็ยังกำโคมไฟเอาไว้แน่น เม็ดเหงื่อผุดออกมาจนชุ่มกรอบหน้าท่ามกลางเสียงหัวใจที่กำลังกระหน่ำเต้นอย่างหนัก
สูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อข่มหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นปกติ กระทั่งได้ยินเสียงประตูด้านหน้าห้องปิดลงได้สักพักเธอจึงรีบคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งออกจากห้องไป