หลายปีที่ผ่านมา เมื่อไหร่กัน.....ที่ปรางค์วลัยเริ่มไม่เข้าหาและสนิทสนมกับเขาเหมือนเดิม เธอที่คอยวิ่งเข้าออกบ้านของเขา คอยเอานั่นเอานี่มาให้เขา สาวน้อยตัวกลมที่เคยเรียกเขาว่าพี่มาตลอด เมื่อไหร่กันแน่.....ที่เธอเลิกเรียกเขาว่าพี่ และไม่มาที่บ้านของเขา
เมฆานั่งคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ จนเมื่อรู้สึกตัวอีกทีก็เข้าสู่เวลามื้อเย็น เขาจึงเตรียมตัวจะออกไปหาอะไรกิน เพราะตั้งแต่มารดาไปอยู่กับบิดาที่ต่างจังหวัด เขาเองก็ไม่ค่อยว่าง เวลาส่วนใหญ่ของเขาหมดไปกับการอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่าอยู่ที่บ้าน เขาจึงซื้ออาหารสำเร็จรูปหรือแกงถุงกินเสียเป็นส่วนใหญ่
ชายหนุ่มลุกออกจากโซฟาที่กำลังนอนเอนอยู่ด้วยท่าทางไม่รีบร้อน เขายืนขึ้นเต็มความสูง บิดกายไปมาคลายความเมื่อยขบจากการนอนบนโซฟาเป็นเวลานาน ก่อนจะเดินออกไปยังหน้าบ้าน เปิดประตูรถที่เขาจอดทิ้งเอาไว้ด้านนอก แล้วขับออกไปช้าๆ
เมื่อรถเคลื่อนตัวผ่านหน้าบ้านข้างๆ เขาเหลียวมองตามความเคยชิน ก่อนจะต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นว่าม้านั่งหน้าบ้าน มีแขกหนุ่มนั่งอยู่ด้วย และหญิงสาวที่อยู่ในความคิดของเขามาเกือบทั้งวันก็กำลังยิ้มแย้มอารมณ์ดี ต่างกับเวลาที่เจอเขา ที่เธอมักจะหน้าตาเคร่งเครียดหรือหน้าหงิกงออยู่เสมอ
เมฆาหงุดหงิดใจโดยที่ไม่ทันรู้ตัว รถยนต์คันหรูเคลื่อนออกไปช้าๆโดยที่เจ้าของรถยังคิดถึงแต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มของปรางค์วลัยด้วยความขุ่นใจ
“เดี๋ยวพี่กลับก่อนดีกว่าตูน เย็นมากแล้ว”
“ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาเยี่ยมแม่”
“พี่มาได้ตลอดแหละ ถ้าตูนว่าง มีอะไรก็โทรไปนะ อย่าคิดว่าเป็นการรบกวน”
“ค่ะ”
หญิงสาวส่งยิ้มขอบคุณเขา เธอรู้ดีว่าเขารู้สึกยังไงกับเธอ มันอาจจะถึงเวลาที่เธอต้องเปิดใจรับใครสักคนเข้ามาในชีวิตเสียที
ปรางค์วลัยยืนส่งนพรุจจนกระทั่งเขาเดินหายลับจากสายตาจึงปิดล็อกประตูรั้วแล้วเดินเข้าบ้านด้วยความไม่รีบร้อน แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเจอปริมนั่งรออยู่
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“แม่ว่าพ่อรุจก็ดูโอเคดีนะ”
“ยังไงคะ”
“ก็โอเคดี ใส่ใจ มีความเป็นผู้ใหญ่ มีความเป็นผู้นำ เขาจีบตูนอยู่ใช่ไหมล่ะ”
“ก็ประมาณนั้นค่ะ แต่ตูนยังไม่ได้คิดอะไรขนาดนั้น ตูนเคยบอกพี่รุจแล้วว่าตูนยังไม่รับปากและยังไม่มีสถานะให้ คงเรียกว่าอยู่ในช่วงพูดคุยกันมั้งคะ”
“คนดีๆน่ะ ไม่ได้หาเจอทุกวันหรอกนะตูน เวลาของแม่ก็ไม่แน่นอนแล้ว จะทำอะไรก็คิดดีๆ”
“ค่ะ แม่กินอะไรอีกไหม”
“ไม่ล่ะ แม่ว่าจะนอนพักหน่อย วันนี้รู้สึกเหนื่อยๆ”
“งั้นแม่รีบนอนพักนะ อย่าเอาโทรศัพท์ไว้ห่างตัว ถ้ารู้สึกไม่ดีรีบโทรหาตูนเลยนะ ตูนตั้งค่าเบอร์ฉุกเฉินไว้ให้แม่แล้ว”
“จ้า ไปพักเถอะ”
ปรางค์วลัยพาปริมเข้าไปส่งในห้อง รอจนปริมเอนกายลงนอน จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นห้องนอนของตัวเองไป
หลังจากขึ้นมาบนห้อง ปรางค์วลัยก็เปิดหน้าต่างระบายอากาศจนครบทุกบาน ก่อนที่เธอจะนั่งลงหน้าโต๊ะคอม มองข้าวของที่นพรุจซื้อให้เธอไล่จนครบทุกชิ้น ความคิดหลายอย่างตีกันจนยุ่ง เมื่อถามใจว่าตัวของเธอเองอยากมีคนข้างกายไหม ก็อยากมี แต่เมื่อถามว่าพร้อมไหม ที่จะต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัวของตัวเอง เธอก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี
หญิงสาวคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยๆจนฟ้ามืด เธอถอนหายใจออหมาเสียงดังด้วยความหนักใจ ก่อนคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ทางด้านเมฆา ชายหนุ่มหงุดหงิดใจจนความอยากอาหารมันหายไป จึงย้อนกลับมาที่บ้านแล้วสั่งอาหารออนไลน์แทน รอจนอาหารมาส่งแล้วนั่งกินเพียงแค่พอรองท้อง ก่อนจะคว้าเอากุญแจบ้านของปรางค์วลัย พวงของปริมที่ยังอยู่ที่เขาขึ้นมาแล้วเดินออกจากบ้านไป
ปรางค์วลัยอาบน้ำสระผมอยู่นาน ก่อนที่เธอจะนุ่งผ้าเช็ดตัวแล้วออกมาจากห้องน้ำเหมือนเช่นปกติอย่างเช่นทุกวัน แต่ก็ต้องร้องกรี๊ดออกมาเมื่อเจอเมฆานั่งอยู่ที่ปลายเตียงของเธอ
“.....มาทำอะไรคะ”
“.....”
หญิงสาวหน้าเหวอ เธอรีบคว้าเอาเสื้อผ้าที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้ามากอดเอาไว้ สายตาจ้องมองเขาด้วยความไม่พอใจ แต่เมฆาก็ทำเพียงมองเธอท่ามกลางความเงียบเท่านั้น
ปรางค์วลัยหมุนตัวกลับเข้าห้องน้ำด้วยความรวมเร็ว ไม่นานก็กลับออกมาอีกครั้งด้วยสภาพที่เรียบร้อยกว่าเดิม เธอแขวนผ้าเช็ดตัวกลับเข้าที่ ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของเธอ
“สรุปว่ามาทำไมคะ” หญิงสาวยังถามเขาด้วยประโยคเดิม
“.....ไม่รู้สิ” เมฆาเองก็ตอบหญิงสาวไม่ได้
“หมอเมฆ ตูนไม่สนุกด้วยนะ” หญิงสาวขึ้นเสียงใส่เขาด้วยความไม่พอใจ
“ก็ไม่ได้สนุก พูดจริงๆ ไม่รู้ว่ามาทำไมเหมือนกัน” ชายหนุ่มสบตาเธอเป็นการบอกว่าเขาพูดจริง
“จะบ้าตาย ถ้าไม่มีธุระหรืออะไรด่วน กรุณาอย่าเข้ามาในห้องนอนตูนโดยพละการได้ไหมคะ” หญิงสาวบ่นเขาออกไปเสียงขุ่น
“ก็.....” เมฆาเองก็ไม่รู้จะตอบอะไรหญิงสาว เลยทำได้แค่เงียบ
“เชิญออกไปได้แล้วค่ะ” ปรางค์วลัยถอนหายใจ สีหน้าของเธอเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ลงไปดูน้าปริมเหรอ” เมฆานิ่งไปอึดใจ ก่อนจะยอมลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากห้องนอนของหญิงสาวแต่โดยดี ก่อนจะหยุดชะงักแล้วหันไปทักเธอเสียงอ่อน
“ก็ตั้งใจว่าอาบน้ำเสร็จก็จะลงไปนี่แหละค่ะ แต่โดนบุกรุกห้องนอนเสียก่อนเลยเสียเวลา” หญิงสาวตอกกลับเขาอย่างไม่เกรงใจ
“งั้นก็ลงไปดูน้าปริมหน่อยละกัน” เขายักไหล่อย่างไม่สนใจท่าทางของเธอแม้แต่น้อย
เมฆาเดินนำปรางค์วลัยลงมาที่ชั้นล่าง ก่อนจะตรงไปเปิดประตูห้องของปริมที่ต่อเติมขึ้นมาไม่นาน เขาเอะใจที่ภายในห้องเงียบกริบ จึงย่อตัวคุกเข่าลงข้างเตียงแล้วสังเกตุการหายใจบริเวณลำคอและหน้าอกของหญิงวัยกลางคน เมื่อไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวจึงรีบเอาปลายนิ้วอังจมูกของปริมเพื่อเช็กลมหายใจ ก่อนที่เขาจะนิ่งไป
ปรางค์วลัยที่ตามเข้ามาที่หลังชะงักไปเธอเห็นการกระทำของเมฆา เธอมองหน้าเขาด้วยความไม่สบายใจ
“.....ตูน ไปลาแม่เถอะ” เมฆาบอกเธอเสียงขรึม ก่อนที่เขาจะค่อยๆลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อให้ปรางค์วลัยเดินเข้ามาหาปริม
“อะไร ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะหมอเมฆ” หญิงสาวอึ้ง เธอถามเขาเสียงสั่น
“คนเป็นหมอ.....ไม่เอาเรื่องชีวิตของคนมาล้อเล่นหรอกนะการ์ตูน” เมฆาพยักหน้าเรียกให้หญิงสาวมาหาปริมเมื่อเห็นว่าเธอยังยืนตัวแข็งอยู่
ปรางค์วลัยตั้งสติ เธอก้าวเท้าเข้ามายืนข้างเตียงมารดา แล้วย่อตัวคุกเข่าลงที่พื้น มือเล็กจับมือของมารดาที่วางประสานกันอยู่บนหน้าท้องมาจับเอาไว้แน่น
“แม่ แม่ทิ้งตูนไปแล้วจริงเหรอ” หญิงสาวเอ่ยเสียงแผ่วเบา น้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนที่น้ำใสๆจะรื้นขึ้นมาในดวงตากลมโตอย่างห้ามไม่ได้
“น้าปริมไม่ทรมานนะตูน เห็นไหม ว่าใบหน้าน้าปริมสงบแค่ไหน” เมฆาปลอบหญิงสาวเสียงเบา เพราะเขาเองก็ใจหายไม่น้อย
เสียงสะอื้นดังขึ้น เมื่อปรางค์วลัยที่เพิ่งตั้งสติได้ก้มหน้าลงจุมพิตหลังมือของมารดา แล้วเอาคางวางไว้บนเตียงของมารดา เธอร้องไห้ปานจะขาดใจเมื่อรู้สึกว่าตนเองยังไม่ทันได้ร่ำลามารดา
“ทำไมไม่เรียกตูนหน่อยล่ะแม่ ทำไมไม่ลากันก่อน” หญิงสาวสะอื้นไห้หนักหน่วงจนเมฆากลัวเธอจะเป็นลม เขามองเธอไม่ให้คลาดสายตา
ปรางค์วลัยขยับตัวลุกขึ้น เธอหย่อนตัวนั่งลงบนขอบเตียงของมารดา ก่อนที่จะลูบใบหน้าลูบผมมารดาด้วยความอาลัยอาวรณ์
“อย่าให้น้ำตาโดนตัวแม่นะ เดี๋ยวแม่เป็นห่วง” เมฆาเอ่ยเตือนหญิงสาวเสียงเบา
“ตูนยังไม่ได้ลาแม่เลยหมอเมฆ ทำไมแม่ไปไม่ลาเลยล่ะ” หญิงสาวถามเขาเสียงสั่น
“แม่คงไม่อยากเห็นตูนร้องไห้” เมฆาบอกก่อนจะก้าวเข้าไปยืนตรงหน้าหญิงสาว คุกเข่าลง แล้วโอบร่างของเธอมากอดเอาไว้
ปรางค์วลัยซบใบหน้าลงบนบ่ากว้าง เธอร้องไห้สะอื้นเสียงดังราวกับจะขาดใจ อย่างน้อยถ้ามารดาจะไป เธอก็อยากอยู่กับมารดาด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้มารดาจากไปคนเดียวแบบนี้
หญิงสาวรู้สึกว่าทุกอย่างมันเร็วไป เธอยังไม่ทันตั้งตัว ไม่ได้คิดว่ามารดาจะไปไม่ลา ทั้งที่อาการของมารดายังก็ดูปกติ ไม่ได้ทรุดลงหรือมีอาการอะไรเพิ่มเติม
“ไปเถอะ ไปลงบันทึกประจำวัน เพื่อจะได้พาแม่ไปโรงพยาบาล” เมฆาเอ่ยเตือนสติหญิงสาว ก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรเข้าไปที่โรงพยาบาล เพื่อแจ้งให้รถโรงพยาบาลมารับ
“ไปทำไมคะ”
“น้าปริมมีประกันไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ”
“ต้องใช้เอกสารชันสูตรจกโรงพยาบาลน่ะสิ เป็นหลักฐานในการยื่นเครม”
“อ๋อ ค่ะ”
“สติยังมาอยู่สินะ เดี๋ยวพี่จัดการเรื่องลงบันทึกประจำวันกับเรื่องที่โรงพยาบาลให้ เราไปเตรียมเอกสารให้เรียบร้อย สำเนาทะเบียนบ้านกับสำเนาบัตรประชาชนแม่”
“ค่ะ”
“แล้วก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เดี๋ยวเราต้องไปโรงพพยาบาล”
“ค่ะ”
ปรางค์วลัยที่ยังงงอยู่ รับคำตามที่เมฆาสั่งที่ละข้อ เธอพยายามตั้งสติแล้วเรียบเรียงสิ่งที่ต้องทำ ก่อนที่เธอจะหมุนตัวออกจากห้องนอนของปริมแล้วกลับขึ้นชั้นบนเพื่อไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมเอกสารให้เรียบร้อย ปล่อยให้เมฆาช่วยจัดการทุกอย่างในเบื้องต้นแทนเธอ