หากม่านอวี้นางไม่หนีออกไปจากจวน เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น
“เหตุใดถึงไม่อยู่ร้องไห้ในเรือนของเจ้า” นางกัดฟันแน่นอย่างแค้นใจ
สหายของนางที่ไม่เคยพบเจอเรื่องผิดหวัง ภายในจวนยังมีบิดามารดา พี่ชายรักถนอมเอาใจ หากเจอเรื่องทุกข์ใจเช่นนี้ สมควรที่จะต้องร้องไห้อาละวาด เสียใจอยู่ภายในเรือนเสียมากกว่า
“กลับออกไปแล้วรึ” ฉีเฟยหลงเอ่ยถามถังกงกงให้แน่ใจ
“พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วนางเป็นเช่นใดบ้าง”
“คุกหลวงหนาวเย็นยิ่งนัก อาการของซ่งซื่อไม่ใคร่จะสู้ดีนักพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม...เจิ้นจะไปดูนางหน่อย หากมาตายในวัง เสนาบดีซ่งคงได้มาร้องไห้จนน้ำท่วมตำหนักเป็นแน่”
ม่านอวี้แม้จะได้กระถางไฟและผ้าห่มมาเพิ่ม แต่อาการสั่นสะท้านจากความหนาวเย็นของนางก็ไม่ได้ลดลงไปเลย
เมื่อรู้สึกว่ามีผ้าห่มเพิ่มมาอีกผืนใกล้ๆ ตัว นางจึงคว้าดึงเข้ามาห่มไว้
“จะ เจ้า...” ฉีเฟยหลงตื่นตระหนกไม่น้อย เมื่อม่านอวี้คว้าเสื้อคลุมตัวนอกของเขาดึงไปไว้แนบอก
“ฝ่าบาท” ถังกงกงรีบเดินเข้ามาช่วยดึงมือของม่านอวี้ออก แต่ก็ถูกฉีเฟยหลงห้ามไว้
“ไปหาผ้าห่มมาเพิ่มให้นาง”
ฉีเฟยหลงจำต้องนั่งลงข้างม่านอวี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ ยามนี้สตรีหน้าหนาเริ่มขยับตัวเข้ามาหาไออุ่นจากร่างกายของเขา
“เหอะ ไร้ยางอาย” แต่เขาก็ปล่อยให้นางซุกหน้าลงกับต้นขาด้านข้างของเขา
“มาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงของถังกงกง ทำให้ฉีเฟยหลงดีดตัวลงขึ้นไปยืนด้านข้างแทน
“โอ๊ยย” ม่านอวี้ที่ถูกต้นขาของเขากระแทกเข้าหน้า นางก็ร้องออกมาเสียงเบา พร้อมทั้งลูบใบหน้าที่เจ็บไปด้วย
“ฮูหยินซ่ง ท่านเป็นอันใด” ถังกงกงทรุดตัวลงไปนั่งดูใบหน้าของม่านอวี้
“ถังกงกง ข้าเจ็บ” นางเงยหน้าที่แดงก่ำขึ้นให้เขามอง
“ไปกระแทกอันใดมาขอรับ ฮูหยินซ่งท่านเปลี่ยนใจดีหรือไม่” ถังกงกงที่รู้จักเสนาบดีซ่งตั้งแต่ที่ยังไม่ออกเรือน ยามที่เขารู้ว่าได้บุตรสาวเป็นม่านอวี้ก็คุยโวเสียนับเดือน จึงอดที่จะสงสารนางไม่ได้
“ไม่ ฝ่าบาทรึ” ม่านอวี้พยายามดันตัวให้ลุกขึ้น “พระองค์ลงโทษหม่อมฉันเลยได้หรือไม่เพคะ” หากยังเหลือชีวิตรอด นางจะได้กลับจวนเสียที
“เจ้าอยากตายเพียงนั้นเลยรึ”
“ผู้ใดจะอยากตายกันเล่าเพคะ แต่หม่อมฉันไม่ต้องการอยู่ในจวนตระกูลหวังแล้ว”
“หึ ช่างน่าขันนัก เป็นเจ้าที่ขอร้องบิดาให้มาขอพระราชทานสมรสจากเจิ้น”
“ตอนนั้นหม่อมฉันไม่รู้เรื่องที่แม่ทัพหวังกับคุณหนูจ้าวคบหากัน หากรู้หม่อมฉันจะทำเรื่องโง่เขลาได้อย่างไรกัน”
“เจ้าไม่รู้จริงรึ”
“เพคะ”
“ถังกงกงไปเรียกองครักษ์มาโบยนาง”
“ฝ่าบาท” ถังกงกงเอ่ยเสียงฉีเฟยหลงเสียงสั่น
“ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ” ม่านอวี้คำนับลงกับพื้น แต่นางไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
“เหอะ จะตายแล้วแต่ทำเป็นเก่ง” ฉีเฟยหลงโน้มตัวอุ้มม่านอวี้กลับไปที่ตำหนัก โดยให้ถังกงกงเรียกนางกำนัลมาดูแลนางอยู่ที่ตำหนักข้าง
ม่านอวี้ที่ได้นอนเตียงนุ่มๆ ผ้าห่มหนาๆ ก็ยกยิ้มออกมาแม้แต่ยามที่ไม่รู้สึกตัว
“ฝ่าบาทแล้วคืนนี้พระองค์จะเสด็จไปตำหนักใดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ไป เจิ้นจะอ่านฎีกาให้เสร็จ” เขาโบกมือไล่ถังกงกงและคนอื่นให้ออกไปจากห้อง
ฉีเฟยหลงวางพู่กันลง เขาหวนย้อนไปเมื่อสองปีก่อน เขาที่เป็นองค์รัชทายาทต้องการจะรับม่านอวี้นางตำหนักบูรพา แต่ตัวนางปฏิเสธเขา
“หม่อมฉัน ไม่ใจกว้างเช่นนั้นเพคะ ไม่อาจทนเห็นสามีไปหาสตรีอื่นได้” ด้วยรู้แก่ใจว่าเมื่อใดที่ฉีเฟยหลงขึ้นครองบัลลังก์เขามิอาจจะมีนางเพียงหนึ่งได้
ยามที่เสนาบดีซ่งเดินทางเข้าวังมาขอพระราชทานสมรสให้ม่านอวี้ ยามนั้นฝูหลินยังไม่ได้มีสัญญาหมั้นหมายอยู่กับจ้าวจินหรู
แล้วตัวสหายเองก็มิใช่บุรุษมากรัก จึงยอมออกราชโองการให้นาง แต่ไม่คิดว่าสหายของตนจะทำเรื่องเลวร้ายรับสตรีสองคนเข้าจวนพร้อมกัน
ยิ่งได้เห็นร่องรอยที่นางทำร้ายตัวเอง ฉีเฟยหลงก็ปวดใจไม่น้อย ยามนี้เขามาหยุดยืนที่ข้างเตียงของม่านอวี้ ไม่รู้ว่าเดินมาได้อย่างไรเช่นกัน
“หึ น่าขันนัก หากย้อนกลับไปเจิ้นมีเจ้าเพียงหนึ่งเดียว เจ้าจะยอมแต่งให้เจิ้นรึไหม” เขามองใบหน้างามอยู่เนิ่นนาน
“อาซาน คุณไปหาผ้าห่มมาเพิ่มให้ฉันหน่อย” เสียงของนางเบาจนฉีเฟยหลงต้องยื่นใบหูไปใกล้ปากของนาง
“น่าตายนัก อาซานเป็นผู้ใด เจ้าตื่นขึ้นมาบอกเจิ้นเดี๋ยวนี้” เขาได้ยินนางเอ่ยเรียกถึงสองหนแล้ว ต้องรู้ให้ได้ว่าผู้ใดคืออาซาน
ฉีเฟยหลงดึงแขนของม่านอวี้ให้ลุกขึ้นอย่างแรง จนใบหน้าของนางบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บปวด
“อาอวี้ อาซานที่เจ้าว่าเป็นผู้ใด”
“หื้ม...อาซาน อาซาน” นางสลัดหัวอย่างมึนงง ก่อนจะตบไปที่หน้าผากของตนเองเสียงดัง
“บอกไปพระองค์ก็ไม่รู้จัก” นางดึงมือของเขาออกจากแขนของนาง
บุรุษภพนี้เป็นยังไงกัน เอะอะก็ดึงกระชากแขน จนนางปวดระบมไปหมดแล้ว
“บอกมา เจิ้นจะไม่รู้ได้อย่างไร” เขากดเสียงต่ำลงจนม่านอวี้หดคอลง
“สหายของหม่อมฉันเพคะ”
“เจ้าให้บุรุษหยิบผ้าห่มให้เจ้าถึงสองหนเช่นนี้รึ สหายเช่นใดกัน”
“สหายสนิท” นางก็ไม่รู้จะอธิบายเช่นไรดี
“น่าตายนัก บุรุษกับสตรีจะสนิทถึงขั้นหยิบผ้าห่มให้กันได้อย่างไร แล้วไปหยิบให้เจ้าที่ใด”
“อืม...บุรุษกับสตรีเป็นสหายกันได้เพคะ เหตุใดจะไม่ได้เล่า” นางมองฉีเฟยหลงอย่างใสซื่อ
“เหอะ นับว่าคุณหนูซ่งทำให้เจิ้นได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
“พระองค์ไม่มีสหายเป็นสตรีเลยรึเพคะ” ม่านอวี้ไม่อยากจะเชื่อ
แต่นางคงลืมไปว่ามิติที่นางได้ย้อนมา ภพนี้เรื่องชายหญิงใกล้ชิดกันยังเป็นเรื่องต้องห้ามอยู่ การที่บุรุษจะเป็นสหายกับสตรีจึงแทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดวงตากลมโตที่จ้องมองมาทางเขาอย่างสงสัย ทั้งริมฝีปากที่อ้าออกน้อยๆ ของนางแดงก่ำไปด้วยพิษไข้ ความรู้สึกภายในอกของฉีเฟยหลงตีกันให้วุ่น จนเขาไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองทำอันใดลงไป
“อื้อ...”
ฉีเฟยหลงประกบริมฝีปากของเขาเข้าหาริมฝีปากที่อวบอิ่มของม่านอวี้ เขาขบริมฝีปากล่างของนางเบาๆ เพื่อให้นางยอมเปิดช่องทางให้เรียวลิ้นเข้าไปตวัดดูดกลืนความหวานด้านใน
ม่านอวี้ตกตะลึงไม่น้อย เมื่อถูกจุมพิตที่เร่าร้อนของฉีเฟยหลงอย่างไม่ทันตั้งตัว ลิ้นร้ายของเขาตวัดหยอกเย้าลิ้นน้อยๆ ของม่านอวี้อย่างบ้าคลั่ง และเนิ่นนานจนนางรู้สึกเหมือนจะขาดใจ จนต้องดันร่างของเขาออกแต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นผล
“หายใจทางจมูก” เขาบังคับให้นางยอมรับรสจูบที่เร่าร้อนต่อไป
“หะ หายใจ ไม่ออก” นางเอ่ยประท้วงออกมา
เมื่อเขาปล่อยให้นางเป็นอิสระ ม่านอวี้ถอยตัวไปอยู่อีกด้านของเตียงนอน นางถลึงตามองเขาอย่างโกรธแค้น ที่กล้าล่วงเกินนางเช่นนี้
“มานี่ หรือต้องให้เจิ้นไปลากตัวเจ้าออกมา” เขาเรียกให้นางเข้ามาหาอย่างเอาแต่ใจ