ติ๊ง!
เสียงลิฟต์ที่ดังขึ้นทำให้สาวใหญ่ผมสีบลอนด์ที่นั่งอยู่หน้าห้องทำงานของประธานบริษัทในเครือฟาวเลอร์ต้องเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเสียงนั้นแล้วก็ทันได้เห็นร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมาจากลิฟต์อย่างรวดเร็ว
ซึ่งคนที่ตรงมาทางที่หล่อนนั่งอยู่นั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกเสียจากเจ้านายของหล่อน...มาร์คัส ฟาวเลอร์
“วันนี้คุณดูอารมณ์ดีจังเลยนะคะมาร์คัส”
อลิซเอ่ยเจ้านายหนุ่มเมื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้ ใบหน้ารื่นรมย์เปื้อนรอยยิ้มของชายหนุ่มก็ทำให้หล่อนอดแซวไม่ได้
อลิซทำงานกับมาร์คัสมาร่วมสิบปีตั้งแต่สมัยเขาเริ่มบุกเบิกบริษัทนี้ใหม่ๆด้วยซ้ำหล่อนจึงมีความสนิทสนมกับผู้เป็นเจ้านายหนุ่มในระดับหนึ่ง หญิงสาวเห็นมาร์คัสส่งยิ้มตอบพลางหลิ่วตารับคำล้อเลียนจากหล่อนก่อนจะผลักประตูหายลับเข้าไปในห้องทำงานโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ทว่านั่นก็คือว่าดีมากแล้วสำหรับเสือ ยิ้มยากอย่างมาร์คัส ฟาวเลอร์
มาร์คัส ฟาวเลอร์ มหาเศรษฐีหนุ่ม ก่อร่างสร้างตัวเองจากคนที่ไม่มีอะไรนอกจากความรู้จนกลายเป็นว่าทุกสิ่งที่เขาอยากได้...ไม่มีอะไรที่เขาไม่ได้! ด้วยมันสมองเป็นเลิศทำให้มาร์คัสต่อสู้ในเกมกระดานธุรกิจจนประสบความสำเร็จ ด้วยวัยเพียงสามสิบปีเขาก็สามารถเป็นเจ้าของกิจการในเครือฟาวเลอร์กรุ๊ปที่พร้อมจะทำกำไรอย่างงดงาม
มาร์คัส ฟาวเลอร์ถูกเรียกขานว่าเป็นปีศาจในวงการธุรกิจ เพราะไม่ว่าเขาจะเข้าไปหยิบจับกิจการอะไร เป็นต้องสร้างกำไรอย่างมหาศาลไปให้เขาเสียทุกครั้ง และถึงแม้ว่าชายหนุ่มจะชอบบริจาคเงินให้สาธารณะกุศลต่างๆมากมายก็ไม่มีใครลบภาพความร้ายกาจออกไปจากตัวเขาได้อยู่ดี...เช่นที่ใครๆ ก็รู้ มาร์คัส ฟาวเลอร์เป็นเสือผู้หญิงตัวฉกาจที่บ้านใดมีลูกสาว โปรดซุกซ่อนพวกหล่อนให้ห่างสายตาเขาให้มากที่สุด!
แต่ถึงกระนั้น...มาร์คัสก็รู้ดีว่าตนเองมีกฏประจำตัวเหมือนกัน
เขาไม่ยุ่งกับสาวพรหมจรรย์!
แล้วยิ่งทุกวันนี้ พรหมจารีของผู้หญิงหายากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร มาร์คัสยิ่งไม่กังวลกับสิ่งใด เขาสามารถใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี ไม่ผูกมัดกับผู้หญิง คนไหน ไม่เคยมีใครจับเขาได้นาน และที่รู้เสียยิ่งกว่ารู้สำหรับมาร์คัส ผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันกับเขานั้นก็เพียงเพราะเงินเท่านั้น
ถ้าเพียงแต่เขาเป็นแค่ไอ้มาร์คัสกระจอกๆเหมือนเมื่อสิบห้าปีก่อน... ใครมันจะมาเหลียวแลเขากัน!
หลังเลิกงานวันนี้มาร์คัสมีนัดกับคู่ควงคนล่าสุด
‘ทีโอน่า’ เป็นนางแบบสาวที่กำลังมาแรงในขณะนี้ เขาไปหาหญิงสาวที่คอนโดของหล่อน ทั้งคู่จะพากันไปฉลองงานวันเกิดให้นางแบบสาวก่อนจะจบลงที่เตียงภายในห้องพักของใครสักคนอย่างที่มันเป็นประจำในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้
อันที่จริงมาร์คัสมีบ้านหลังใหญ่ของตนอยู่ในเขตสแตเทนไอแลนด์ แต่เพราะสำนักงานใหญ่ของเขาอยู่ที่เกาะแมนฮัตตัน ทำให้มาร์คัสอาศัยอยู่ที่ห้องชุดสุดหรูที่นั่นแทนที่จะกลับบ้านหลังใหญ่นั่น
“ฮัลโหลที่รัก...มาแล้วเหรอคะ ฉันรอคุณอยู่นานเชียว”
ทีโอน่าเปิดประตูห้องพักของตนเองออกอย่างรวดเร็วเพียงแค่เห็นว่าใครมาเยือน นางแบบสาวโผเข้าสู้อ้อมกอดชายหนุ่ม ซึ่งฝ่ายชายก็อ้าแขนออกรับ หญิงสาวเข้าสู้อ้อมแขนเช่นกัน แล้วจูบอันดูดดื่มของทั้งคู่ก็เริ่มขึ้น มาร์คัสกอดรัดร่างบอบบางของนางแบบสาวจนแนบกับตนเองไปแทบทุกสัดส่วน ทรวงอก นุ่มหยุ่นแนบกับอกแกร่งทำให้มาร์คัสรู้สึกตื่นตัว แล้วไหนจะกลิ่นกายสาว หอมละมุนอีกล่ะ
เพียงแค่นี้ก็ทำให้มาร์คัสรับรู้...เลือดในกายเขากำลังเดือดพล่านไปทั้งตัว
นานหลายนาทีที่ริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกันอย่างเร่าร้อน จนทีโอน่าทนไม่ไหว นางแบบสาวผลักอกมาร์คัสเบาๆ ทำให้ชายหนุ่มถอนจูบออกมา นางแบบสาวหัวเราะคิกคักกับไฟสวาทที่ถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดายของมหาเศรษฐีหนุ่ม ซึ่งแน่นอนว่าตัวหล่อนเองก็เป็นเฉกเช่นที่เขาเป็น
“ผมชักไม่อยากออกไปซะแล้วสิทีน่า”
มาร์คัสกระซิบเสียงแหบพร่าข้างหูนางแบบสาว แล้วซุกไซ้ใบหน้าของตนเองกับซอกคอหอมกรุ่นด้วยน้ำหอมกลิ่นกุหลาบอย่างที่รู้ว่าเขาชอบ ชายหนุ่มยังคงกอดร่างของคู่ควงสาวคนล่าสุดแนบเรือนกายแกร่งของตนจนร่างของทั้งคู่แทบจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันหากไม่มีเสื้อผ้ากั้น
ทีโอน่ายกแขนคล้องต้นคอแกร่งของมาร์คัสไว้ หญิงสาวจูบปลายคางของเขาเร็วๆ แล้วพูดว่า “ไม่เอาน่ามาร์คัส คุณจะให้ฉันฉลองวันเกิดคนเดียวเหรอคะ?”
หากมาร์คัสกลับกอดกระชับร่างหล่อนแน่นยิ่งกว่าเมื่อครู่แล้วพูดหน้าตาเฉย “แต่ผมว่า...ถ้าเราต่อจากเมื่อกี้ วันเกิดคุณปีนี้จะเป็นปีที่ดีที่สุดนะ”
ชายหนุ่มพูดจบก็ส่งยิ้มและสายตากรุ้มกริ่มให้หล่อน ทีโอน่าหัวเราะคิก หากกลับส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เอาล่ะค่ะ ฉันไม่อยากเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้อง”
“โอเคๆ วันนี้วันของคุณ ผมตามใจคุณทุกอย่าง”
สุดท้ายมาร์คัสก็ยอมใจอ่อนให้กับหล่อน...วันนี้วันของหล่อน เขาเอาใจหล่อนสักวันจะเป็นไรไป
“ต้องอย่างนั้นสิคะ” ทีโอน่ารั้งต้นคอเขาแล้วประทับริมฝีปากอิ่มของตนเองแนบริมฝีปากของมาร์คัสแรงๆ เร็วๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะผละออกแล้วก้มลงมองดูตนเองที่อยู่ในชุดแซกเกาะอกสีแดงเพลิง ขับเน้นผิวขาวของหล่อนให้ผุดผ่อง เฉิดฉายสมกับเป็นนางแบบคนดัง หากบัดนี้ชุดสวยกลับยับย่นเพราะแรงกอด แนบสนิทกันทุกสัดส่วนของผู้ชายตรงหน้า ทีโอน่าส่ายหน้าแล้วทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง แล้วพูดกับมาร์คัสว่า “ดูสิ...คุณทำชุดฉันยับหมดเลยเห็นไหม”
หากมาร์คัสกลับยิ้มกว้าง ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงอย่างเจ้าเล่ห์และ คุกรุ่นด้วยแรงปรารถนาดูราวกับจะกลืนกินหล่อนได้ทั้งตัว
“เดี๋ยวพอเรากลับมา...ผมจะชดเชยโดยการถอดมันออกจากตัวคุณให้แล้วกัน”
ภายในห้องพักเก่าๆย่านไชน่าทาวน์ หญิงสาวที่พูดได้ว่าเจ้าหล่อนตัวเล็กเมื่อเทียบกับขนาดไซต์ตัวของสาวๆ อเมริกันก็กำลังเดินพล่านไปมาทั่วห้องเพราะกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมสิ่งของสำหรับเช็ดตัวให้กับมารดาที่นอนป่วย ไร้เรี่ยวแรงอยู่บนเตียง
‘อรนลิน จารดี’ เป็นลูกครึ่งไทย – อเมริกัน หล่อนเป็นลูกสาวของ ‘อัมพา จารดี’ มารดาชาวไทยของหล่อนเป็นเพียงลูกจ้างในร้านอาหารไทยใน ย่านไชน่าทาวน์ตั้งแต่สมัยสาวๆ ที่ตอนนั้นทำเรื่องมาทำงานที่นี่ตามเพื่อน หากสุดท้ายอัมพาก็ไม่ได้กลับบ้านเกิดของตนเองเพราะได้สามีเป็นชาวอเมริกัน แต่ชีวิตสุขสบายของหล่อนนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน พออีกฝ่ายรู้ว่าหล่อนท้องกลับขับไล่หล่อนให้มาใช้ชีวิตอยู่คนเดียวพร้อมลูกในท้อง และหลังจากนั้นเรื่องก็มาเฉลยว่าสามีของหล่อนมีภรรยาอยู่แล้ว คำหวานคำสัญญาที่เคยให้ไว้ก็เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น
แม้จะใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หากอัมพาก็ไม่บ่นและไม่อาจทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองและผู้ชายคนนั้นได้หล่อนจึงตัดสินใจเก็บลูกของเขาเอาไว้ ซึ่งถึงแม้ว่าอารอน เพียร์สัน...จะรับรู้การมีตัวตนของอรนลิน แต่เขาก็เสือกไสหล่อนและลูกให้มาใช้ชีวิตอย่างลำบากแบบนี้มากว่ายี่สิบปีแล้วโดยไม่เหลียวแลหล่อนและลูกเลย
แม้จะเจ็บใจและเสียใจ...แต่อัมพาก็เลือกที่จะเก็บไว้แล้วอยู่เป็นหลักให้กับอรนลินลูกสาวของหล่อนต่อไป
“อร...ใกล้เวลาทำงานแล้วนะลูก ยังไม่ไปอีกเหรอ?”
อัมพาถามน้ำเสียงอ่อนระโหยแล้วส่งเสียงไอโขลกออกมาเมื่อหล่อนออกแรงพูด
อรนลินเดินมาประชิดเตียงนอนเล็กๆของหล่อนและมารดา คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มภายใต้ขนตาดกหนาฉายแววกังวล ริมฝีปากอิ่ม สีกุหลาบเม้มแน่นแล้วคลายออกเมื่อตัดสินใจบอกมารดา
“หนูว่าวันนี้จะลาหยุดสักวัน มาดามสเตซี่คงไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ”
“จะหยุดทำไมกัน” หากอัมพากลับไม่เห็นด้วย หล่อนถามลูกสาวด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจแล้วพยายามยันกายลุกขึ้นนั่ง
“ก็แม่ไม่สบาย”
ได้ฟังคำตอบของลูกสาวอัมพาก็โบกมือว่อน
“ไม่ต้องห่วงแม่นะอร หนูไปทำงานเถอะ พรุ่งนี้เราต้องจ่ายเงินค่าเช่าห้องไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวแม่ก็ว่าจะออกไปทำงานเหมือนกัน” หล่อนตอบลูกสาวเป็นภาษาไทย อัมพาไม่อยากให้ลูกสาวของตนเองลืมว่าครึ่งหนึ่งนั้นตัวอรนลินก็มีเลือดคนไทย แม้ว่าหล่อนจะไม่มีปัญญาพาลูกกลับไปเยือนบ้านเกิดของหล่อนก็ตาม
อรนลินนิ่วหน้ากับคำพูดนั้นของมารดา หญิงสาวพยายามค้านเพราะดูแล้วท่าอาการของแม่จะไม่ไหวจริงๆ บอกให้ไปหาหมอแม่ก็ไม่ยอมไป
“แม่นั่นแหละหยุดพักเถอะ เดี๋ยวหนูออกไปทำงานเอง”
“ไม่เอา แม่ไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่กๆ” สิ้นคำพูดนั้นอัมพาก็ไอออกมาอีก อรนลินไม่เชื่อสักนิดว่าแม่จะ ‘ไม่เป็นอะไรมาก’ อย่างที่พยายามบอก แต่หล่อนก็ห้ามแม่ที่แสนดื้อดึงของตนเองไม่ได้
“แต่ว่า...”
“เชื่อแม่อรนลิน แม่ไม่เป็นอะไร”
อัมพาย้ำอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลที่ถ่ายทอดให้ลูกสาวเต็มไปด้วยแวว เด็ดเดี่ยว แล้วพยายามทรงกายลุกขึ้นโดยมีอรนลินช่วยพยุง
“ค่ะ”
หญิงสาวรับคำของมารดาในที่สุด รู้ดีว่าแม่ของตนเองลงว่าได้ตัดสินใจอะไรแล้วจะไม่มีอะไรมาสามารถฉุดรั้งหรือขัดอัมพาไว้ได้