เช้าวันศุกร์
ฉัตรญาดารีบตื่นนอนตั้งแต่เช้าทั้งที่วันนี้เป็นวันหยุดเพราะหญิงสาวนัดกับนริศราเพื่อนที่เรียนพยาบาลเพื่อจะพากันไปซื้อชุดทำงานใหม่สำหรับการเริ่มงานเป็นผู้ช่วยซีอีโอ
หญิงสาวเพิ่งได้รับแจ้งจากฝ่ายคุณจารุณีหัวหน้าฝ่ายบุคคลเมื่อวานตอนบ่าย
เธอขับรถเก๋งคันเล็กที่บิดาซื้อให้เป็นของขวัญในวันเรียนจบมารับนริศราที่หอพักด้านหลังโรงพยาบาลที่เธอเพิ่งลาออกไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
“โชคดีมากเลยนะที่วันนี้ข้าวฟ่างหยุดถ้างั้นญาดาคงแย่แน่”
“ดีใจด้วยนะกับการเริ่มงานใหม่” นริศราพูดขณะขึ้นมานั่งข้างคนขับ
“ตอนนี้ญาดาทั้งดีใจทั้งตื่นเต้นเลยล่ะข้าวฟ่าง แต่รู้สึกว่าจะตื่นเต้นมากกว่านะ” ฉัตรญาดาทำงานเป็นพยาบาลแต่ระหว่างนั้นก็เคยตามเพื่อนไปขายอุปกรณ์การแพทย์อยู่หลายครั้ง แต่มันก็ต่างจากงานที่เธอกำลังจะเริ่มทำในวันอังคารที่จะถึงนี้
“แต่ข้าวฟ่างชื่อว่าญาดาจะต้องทำได้นะ” นริศราพูดให้กำลังใจ
“ไม่ได้ก็ต้องได้เพราะเงินเดือนสูงกว่าทำงานที่นี่รวมกับโอทีอีกแต่เขาก็คงใช้งานญาดาหนักมากให้สมกับเงินเดือนนั่นแหละ”
“ข้าวฟ่างยอมรับเลยว่าญาดาเป็นคนกล้ามากนะ”
“กล้ายังไงเหรอ” ฉัตรญาดาหันมาถามเพื่อน
“ก็กล้าที่จะออกจากคอมฟอร์ทโซนไปทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่พยาบาลถ้าเป็นข้าวฟ่างก็คงไม่กล้าหรอก”
“ญาดาก็แค่เบื่อน่ะ แต่ก็ไม่รู้จะทำได้นานไหม”
“จะทำได้นานหรือเปล่าญาดาก็ต้องพยายามนะ”
“อือ ยังไงก็ต้องพยายามให้ถึงที่สุดนันแหละแต่ข้าวฟ่างไม่ต้องเป็นห่วงนะยังไงญาดาก็มีใบประกอบวิชาชีพอยู่ ถ้างานใหม่มันไม่เวิร์คก็แค่ไปสมัครงานที่โรงพยาบาลอื่น แต่ตอนนี้ขอลองสักตั้งก่อน” ฉัตรญาดาคิดว่าในเมื่อมีโอกาสได้ลองหรือทำอะไรใหม่ๆ เธอก็จะไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป
หญิงสาวกับเพื่อนสนิทมาถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เพื่อเลือกซื้อชุดทำงานซึ่งเธอได้ถามฝ่ายบุคคลถึงระเบียบของบริษัทแล้ว ทางนั้นแจ้งว่าบริษัทไม่มีชุดฟอร์มตายตัวแต่ขอให้แต่งกายด้วยชุดสุภาพไม่โป๊จนเกินไป
“น่าอิจฉาญาดาจังเลยนะต่อไปนี้จะได้แต่งตัวสวยๆ ทุกวัน”
“ญาดาคิดว่ามันก็ดีนะที่ได้แต่งตัวด้วยชุดสวยๆ และจะแต่งแบบไหนก็ได้มันเป็นอิสระดี แต่พอคิดย้อนกลับการแต่งตัวด้วยชุดพยาบาลมันก็สะดวกและสบายดีในก่อนไปทำงานก็ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาเลย”
“มันสบายกันคนละอย่าง ถ้าญาดาออกไปทำงานแล้วไปได้สวยอย่าลืมบอกข้าวฟ่างบ้างนะ”
“แน่นอนสิยังไงญาดาก็ต้องบอกข้าวฟ่างอยู่แล้ว เราสองคนจะได้รีบเก็บกันตอนที่ยังพอมีแรงดีไหมล่ะ เก็บเงินสักก้อนจะได้ไปเที่ยวกัน ญาดาไม่อยากไปเที่ยวตอนแก่มันคงไม่สนุกเท่าไหร่”
“ข้าวฟ่างเห็นด้วยเลย เดือนหน้าข้าวฟ่างอัดเวรไว้เยอะเหมือนกันเพราะเดือนต่อไปจะลาพักร้อน เราไปเที่ยวด้วยกันดีไหม”
“ถ้ามันตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการก็ได้นะ”
“ข้าวฟ่างลืมไปเลยว่าต่อไปนี้ญาดาจะได้มีวันหยุดเหมือนคนอื่น”
“อือ นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ญาดาตัดสินใจลาออกจากโรงพยาบาลก็เพราะมีวันหยุดเหมือนคนอื่นนี่แหละ”
ฉัตรญาดาและนริศรานั่งคุยและทานกันอย่างไม่รีบร้อนหลังจากใช้เวลาในร้านชาบูอยู่เกือบสองชั่วโมงทั้งสองก็ตกลงจะไปดูภาพยนตร์ด้วยกัน
“ดูเรื่องอะไรกันดีล่ะข้าวฟ่าง”
“อยากดูหนังผีนะ แต่กลัวกลับไปแล้วจะหลอนและนอนคนเดียวไม่ได้ งั้นเอาเป็นหนังตลกก็แล้วกันนะญาดา”
“ได้สิ ญาดายังไงก็ได้”
ระหว่างรอรอบหนังทั้งสองก็นั่งคุยกันอยู่ที่เก้าอี้บริเวณด้านหน้าบรรยากาศหน้าโรงภาพยนตร์ทำให้ฉัตรญาดาเห็นแล้วนึกถึงตอนที่เธอยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ซึ่งตอนนั้นเธอได้มาดูภาพยนตร์กับพี่สาวต่างบิดาและแฟนของเธอ
“ข้าวฟ่างรู้ไหมแต่ก่อนญาดาเคยมาดูหนังผีด้วยนะ”
“มาดูกับใครแล้วไม่กลัวเหรอ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉัตรญาดาจางหายไปเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา
“มีอะไรหรือเปล่าญาดาทำไมดูเครียดจังหรือไปดูหนังผีกับแฟนเก่า”
“ไม่ใช่หรอก”
“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะญาดา”
“เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว ญาดาคิดว่าตัวเองลืมได้แต่เห็นหนังผีก็อดนึกถึงไม่ได้ เอาไว้มีเวลาญาดาจะเล่าให้ข้าวฟ่างฟังนะ ตอนนี้ก็เราไปดูหนังกันดีกว่าได้เวลาแล้ว”
“ตายจริงนี่เราคุยกันเพลินจนลืมดูเวลาไปเลย”
แม้ว่าภาพยนตร์ที่เลือกมาดูวันนี้จะภาพยนตร์ตลกแต่ก็มีช่วงแต่ก็ทางโรงภาพยนตร์มีตัวอย่างให้ดู ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญทำให้นริศราต้องเอามือขึ้นมาปิดตาเพราะความกลัว
ส่วนฉัตรญาดานั่งจ้องไปที่จอภาพยนตร์แต่สมาธิของหญิงสาวไม่ได้อยู่ตรงหน้า ภาพที่ฉายบนจอมันทำให้หญิงสาวย้อนความทรงจำกลับไปในช่วงปิดเทอมตอนที่เธอกำลังจะขึ้นชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม เธอยังคงจำวันนั้นได้ดีวันที่เธอเข้าไปในโรงภาพยนตร์พร้อมกับพี่สาวและแฟนของเธอ
“เฮ้อ!....จบสักที แบบนี้แหละที่ข้าวฟ่างไม่ค่อยอยากมาดูหนังคนเดียวเพราะกลัวช่วงที่ใช้หนังตัวอย่างนี่แหละ”
เสียงของทำให้ฉัตรญาดาออกจากความทรงจำในอดีตที่เธอไม่เคยลืมมันได้เลยแม้ว่าเวลาจะผ่านมานานนับสิบปีแล้วก็ตาม