“ค่ะ น้องดาวอยากกินเค้ก แล้วก็ต้องเป็นเค้กที่คุณแม่ทำด้วย เพราะมันอร่อยที่สุดในโลก” เด็กน้อยเอ่ยตามความจริง เพราะอาหารที่มารดาของเธอทำอร่อยทุกอย่างเลย
“แม่ดูหลานแค่สิคะ ปากหวานจริงๆ” เพียงตะวันหันไปพูดกับมารดาที่มองทั้งสองคนแม่ลูกด้วยรอยยิ้ม
“น้องดาวจะเหมือนใครล่ะ ถ้าไม่เหมือนตะวันตอนเด็กๆ เมื่อก่อนเราน่ะขี้อ้อนมากกว่าน้องดาวตอนนี้อีก แม่บอกให้เลย น้องดาวไม่ได้ครึ่งตะวันหรอกลูก” นางพัดกล่าวตามความจริง เพราะในวัยเด็กเพียงตะวันออดอ้อนมารดาตลอด“แม่ก็ว่าไปนั่นนะคะ ไม่เอาไม่ฟังแล้ว เดี๋ยวแม่ขายตะวันไปมากกว่านี้ ตะวันพาน้องดาวไปทำขนมดีกว่า แม่นั่งพักเถอะนะคะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” เพียงตะวันหันมายิ้มให้มารดานิดนึง ก่อนที่เธอจะอุ้มบุตรสาวตัวน้อยเดินไปที่ครัวเล็กๆ
“ไม่เป็นไรหรอกลูก มาฝากน้องดาวไว้กับแม่เถอะ เดี๋ยวน้องดาวจะไปกวนหนูซะเปล่า” นางพัดเอ่ยอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ชีวิตบั้นปลายที่มีหลานน่ารักอย่างเด็กหญิงเพียงดาว แค่นี้มันก็ทำให้ชีวิตไม้ใกล้ฝั่งอย่างนาง มีความสุขก่อนที่จะวาระสุดท้ายของชีวิตแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ น้องดาวคงอยากลองทำด้วย แม่พักผ่อนเถอะนะคะ” เพียงตะวันยืนยันเช่นเดิม นั่นทำให้นางพัดปล่อยให้สองแม่ลูกไปทำขนมในครัว ส่วนตัวนางนั้นก็นั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา เสียงหัวเราะของสองแม่ลูกนั้นดังออกมาเป็นระยะ นั่นทำให้คนอย่างนางพัดสุขใจเป็นอย่างมาก
แต่นางพัดยังมีบางอย่างที่ค้างคาอยู่ในใจ นั่นก็คือเรื่องของกานต์ ซึ่งนางอยากให้หลานสาวของนางมีพ่อ นางจึงแอบส่งจดหมายไปหากานต์ หลังจากที่นางมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน ในจดหมายฉบับนั้นมีรูปเด็กหญิงเพียงดาว และที่อยู่ที่นี่ แต่นี่ก็ผ่านมาสองปีแล้ว กานต์ก็ไม่ได้มาที่นี่แต่อย่างใด สงสัยเขาจะตัดใจและสร้างครอบครัวใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว บุตรสาวของนางคงไม่ได้มีความสำคัญอะไร
ก็ดีแล้วที่มันเป็นเช่นนี้ ต่างคนต่างมีทางเดินของตนเอง หากว่าสองคนอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความเจ็บปวด การที่เรื่องราวมันจบแบบนี้ก็น่าจะดีแล้ว แต่มาตอนนี้ที่นางรู้สึกนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่าเด็กหญิงเพียงดาว บอกให้นางพาใส่บาตรให้บิดาพรุ่งนี้เช้า นางถึงกับจุกที่อก เพราะนางไม่สามารถบอกความจริงหลานสาวได้ คงต้องปล่อยให้หลานสาวโตขึ้นพอจะมีภูมิคุ้มกัน แล้วค่อยบอกเรื่องบิดาของเธอแล้วกัน