รถของอลิซชะลอตัวยังที่จอดรถในคฤหาสน์มอร์แกน ก่อนจะจอดสนิทเมื่อเครื่องยนต์ดับลง ร่างสูงที่นั่งฝั่งผู้โดยสารผลักประตูเปิดออกจนประตูรถแทบพัง แล้วสาวเท้าเข้าไปในคฤหาสน์หลังงามปานพายุ
อลิซมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างไม่เข้าใจว่าร่างสูงหงุดหงิดด้วยเรื่องอะไร แต่เมื่อยังหาสาเหตุไม่ได้ ร่างบางจึงรีบเดินกึ่งวิ่งตามคนตัวโตเข้าไปด้านใน
“สวัสดีค่ะป้าวี ลุงแพทริก”
อลิซยกมือไหว้วีรณามารดาของเจคอบและแพทริกบิดาของเจคอบ ก่อนที่วีรณาจะอ้าแขนกว้างรับเอาร่างเล็กเข้าสู่อ้อมกอด เจคอบมองภาพตรงหน้าอย่างระอาใจ ได้ข่าวว่าเมื่อวานก่อน เด็กแสบก็เพิ่งจะมากินมื้อค่ำที่บ้านเขา ดูมารดาเขาสิทำอย่างกับว่าไม่เจอหน้ากันนานเป็นชาติแล้วอย่างนั้นแหละ
ร่างสูงยกมือขึ้นไหว้บิดาและมารดา ก่อนจะสาวเท้าขึ้นไปชั้นสอง ปล่อยให้คุณแม่ของเขาโอบกอดลูกสาวนอกไส้อย่างพออกพอใจ
“วี ดูลูกชายของคุณสิ ทำอย่างกับเด็กหวงแม่แน่ะ”
แพทริกระบายยิ้มกว้าง มือหนาเอื้อมไปโอบไหล่ภรรยาไว้ แม้จะล่วงเลยเข้าวัยห้าสิบปี แต่อดีตนักฟุตบอลชื่อดังก็ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ตาคู่คมมองตามบุตรชายไปจนลับสายตา ก่อนจะเบนสายตากลับมาที่สาวน้อยที่ยืนฉีกยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า
“ไงจ๊ะ อลิซ” แพทริกถามว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยรอยยิ้ม อลิซตอบกลับด้วยการระบายยิ้มกว้างมาก ปากเล็กขยับเอ่ยขออนุญาต
“อลิซขอขึ้นตัวขึ้นไปข้างบนก่อนนะคะ” หญิงสาวบอกแค่นั้นแล้วรีบขึ้นไปด้านบน คนสูงวัยกว่าทั้งสองคนมองตามร่างเล็กไปจนลับสายตา
“วี ทำแบบนี้ดีแล้วหรือ”
แพทริกถามภรรยา ขณะที่ทั้งคู่พากันมานั่งที่โซฟาในห้องรับแขกเพื่อรอเด็กสองคนลงมากินมื้อค่ำ แม้ว่าทั้งคู่จะเข้าสู่วัยหนุ่มสาวแต่ในสายตาของพวกท่านทั้งคู่ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี
“เชื่อวีนะคะคุณแพทริก ลูกชายของเราไว้มาดจนเกินไป หมั้นกันจะเป็นปีไม่เห็นทีท่าว่าจะอยากแต่งงาน กะจะให้หนูอลิซเป็นแค่คู่หมั้นไปตลอดชีวิตเลยหรือไงกัน”
“ผมล่ะกลัวใจเจ้าลูกชายของเราจริงๆ ไม่ใช่จะคิดว่าหนูอลิซมาขอร้องอ้อนวอนให้จัดงานแต่งซะล่ะ ทั้งที่หนูอลิซไม่รู้อะไรด้วยเลย”
“ลองเสี่ยงดูกันสักตั้งก็ไม่เห็นจะเป็นไรนี่คะ”
“เมียใครเนี่ย เจ้าเล่ห์จริง”
“ก็เมียคุณแพทริก อดีตนักฟุตบอลชื่อดังระดับโลกไงคะ”
“ตอบได้น่ารักมาก คืนนี้ผมมีรางวัลให้”
“จริงหรือคะ วีอยากให้ถึงคืนนี้เร็วๆ จังเลยค่ะ”
วีรณาแกล้งพูดจายั่วยวนสามี ซึ่งมันก็ได้ผล แพทริกถึงกับครางฮึ่มฮั่มในลำคอ ถ้าไม่ติดต้องกินมื้อค่ำกับลูกชายและว่าที่ลูกสะใภ้แล้วละก็ เขาจะอุ้มคนช่างยั่วเข้าห้องเสียเดี๋ยวนี้
“พี่เจคคะ”
อลิซเคาะประตูเรียกก่อนจะหยุดรออยู่ที่หน้าห้องนอนของคนตัวโต อยากจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปด้านในอยู่เหมือนกัน แต่เกรงว่าถ้าเกิดเธอพรวดพราดเข้าไปแล้วเจ้าของห้องเกิดเปลือยกายอยู่คงไม่ดีต่อหัวใจดวงน้อยๆ ของเธอแน่
“เข้ามาเถอะ พี่ไม่ได้ล็อก”
เจคอบตอบรับเสียงเหนื่อยหน่ายใจ แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าดีแล้วละที่เธอเข้ามา จะได้คุยเรื่องที่ค้างคาใจให้มันจบๆ ไป
เมื่อคนตัวโตเอ่ยอนุญาต ร่างเล็กจึงรีบพาตัวเองเข้าไปด้านในอย่างไม่รีรอ
“นั่งก่อนสิ” เจคอบผายมือให้คนตัวเล็กนั่งที่โซฟาเล็กปลายเตียง แล้วร่างสูงจึงทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เธอ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันแน่นจนคนที่นั่งข้างๆ สังเกตเห็นได้ชัด
“แหมพี่เจค ทำไมทำหน้าแบบนั้นคะ มีเรื่องซีเรียสหรือเปล่า”
ใบหน้าหล่อเหลาหันมามองหน้าเธอ ก่อนริมฝีปากหยักจะเอ่ยสิ่งที่ทำให้ใจขุ่นมัวออกมา
“อลิซขอให้แม่พี่เร่งรัดจัดงานแต่งงานของเราใช่ไหม”
“เอ๊ะ งานแต่งของเราอย่างนั้นหรือคะ” อลิซถามกลับอย่างแปลกใจ งานแต่งงานอะไรกัน เธอเพิ่งจะทราบก็ตอนที่เขาบอกนี่ละ
“ไม่ต้องมาตีเนียน พี่รู้ว่าอลิซรู้เรื่องนี้ดี”
“แต่อลิซไม่…”
“ไม่ต้องเถียง ถ้าอลิซอยากจะแต่งงานมากขนาดนั้น ก็ฟังที่พี่จะพูดต่อไปนี้ก็แล้วกัน”
“…”
“ถ้าอลิซอยากจะมีสิทธิ์ในตัวพี่ มีวิธีการเดียวนั่นก็คือทำให้พี่รักอลิซให้ได้ แต่ถ้าภายในสามเดือนอลิซทำไม่สำเร็จก็ออกไปจากชีวิตพี่ซะ และจบความสัมพันธ์ในฐานะคู่หมั้นที่พี่ไม่เคยเต็มใจตั้งแต่แรก”
“พี่เจค…” อลิซเรียกเสียงอ่อน ร่างบางแทบหมดแรง แต่เธอคงทำอะไรไม่ได้ นอกเสียจากจะต้องทำตามข้อเสนอที่เขาหยิบยื่นให้ คนที่รักอยู่ฝ่ายเดียวคงต้องยอมรับอย่างจำใจ
“แล้วอย่าคิดใช้ร่างกายผูกมัดพี่ เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นอลิซต้องรับผิดชอบตัวเอง พี่จะไม่รับผิดชอบอะไรทั้งนั้น”
อลิซอยากจะปฏิเสธอีกครั้งว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเรื่องงานแต่งงานอะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่าเธอยังไม่คิดถึงขั้นนั้นด้วยซ้ำ แค่ตอนนี้ได้เป็นคู่หมั้นของเขาเธอก็พอใจแล้ว แต่ถ้าเธอปฏิเสธเขาก็คงไม่เชื่อเธอแน่ และเงื่อนไขที่เขาหยิบยื่นให้ก็ทำให้เธอแทบกระอักเลือด ร่างบางชาดิก เป็นเวลาหลายนาทีกว่าเธอจะหาเสียงของตัวเองเจอ
“ทราบแล้วค่ะ อลิซจะจำไว้”
อลิซตอบเสียงแผ่ว ใบหน้าเรียวสวยที่มักจะมีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลาก็ดูห่อเหี่ยวจนน่าใจหาย เจคอบเบนสายตาออกห่าง ไม่อยากเห็นสีหน้าเศร้าหมองของอีกฝ่าย เขาทำถูกแล้วละ ในเมื่อเขาไม่ได้รักเด็กแสบนั่นแบบคนรัก เขาแค่เอ็นดูแบบน้องสาว ขืนแต่งกันไปมีแต่จะเสียความรู้สึกกันเปล่าๆ นี่คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และเขาก็มั่นใจว่าเวลาสามเดือนนั่นก็ไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนใจได้หรอก เขาแค่ช่วยซื้อเวลาให้เธอได้ทำใจและมีเวลาพอที่จะยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่างหาก
“อลิซขอตัวลงไปข้างล่างก่อนนะคะ ป่านนี้ป้าวีกับลุงแพทริกคงจะรอที่โต๊ะอาหารแล้วล่ะค่ะ”
หญิงสาวพยายามฉีกยิ้มกว้าง ทั้งที่หัวใจกำลังถูกบีบรัดอย่างรุนแรง ร่างบางไม่รอฟังคำตอบรับ ลุกพรวดพราดจากโซฟาแล้วรีบสาวเท้าออกไปไม่เหลียวหลัง เพราะถ้าเธอยังอยู่ตรงนี้แม้แต่วินาทีเดียวละก็ น้ำใสๆ ที่เธอพยายามสะกดกลั้นให้ไหลย้อนเข้าไปในอก ต้องไหลออกมาประจานเธออย่างแน่นอน
เจคอบมองตามร่างบางไปจนลับสายตา ร่างสูงถอนหายใจหนักหน่วง เขาแค่ทำในสิ่งที่ควรทำ แล้วทำไมต้องรู้สึกแปลกๆ ในอกแบบนี้ด้วย ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“อ้าว อลิซจะกลับแล้วหรือลูก อยู่กินมื้อค่ำด้วยกันก่อนสิ”
วีรณาหันไปเห็นอลิซที่เดินจ้ำอ้าวจะออกไปเข้าพอดี จึงเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ หวังใจว่าจะให้เธออยู่กินมื้อค่ำด้วยกันก่อน อลิซเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังเสียมารยาทที่ไม่ทันได้เอ่ยลาเจ้าของบ้าน ร่างบางจึงสาวเท้ามาหยุดข้างโต๊ะอาหาร ยกมือไหว้ผู้สูงวัยกว่า
“อลิซขอตัวกลับก่อนนะคะ ป้าวี ลุงแพทริก อลิซเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีนัดกับเพื่อนน่ะค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ นะคะ”
วีรณากับแพทริกเห็นอีกฝ่ายตาแดงๆ หน้าก็ดูเจื่อนๆ จึงไม่ได้ทักท้วงแต่อย่างใด ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ลับร่างเล็กสองสามีภรรยาจึงหันมาคุยกัน
“ลูกชายคุณแผลงฤทธิ์เข้าแล้วไหมล่ะ” แพทริกส่ายหน้าน้อยๆ ยามที่เอ่ยถึงลูกชายตัวดี
“เอาน่าคุณ รอดูไปก่อน ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราค่อยยื่นมือเข้าไปจัดการอีกทีก็แล้วกัน” วีรณาตอบสามี ใบหน้าที่ยังคงสะสวยแม้สูงวัยก็แสดงความวิตกกังวลออกมาด้วย แต่เอาเถอะ นี่คงเป็นวิธีการเดียวที่ทำให้ลูกชายของเธอรู้ใจตัวเองเสียที