“รักมันมากเลยเหรอ ถึงได้มานั่งร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้” ไม่รู้ว่าฉันนั่งอยู่ตรงนี้นานเท่าไร แต่ก็นานพอจนสายจากเคชิถูกตัดไปเพราะแบตฯ โทรศัพท์หมด หยดน้ำตากลายเป็นคราบทั่วแก้มจนรู้สึกแห้งตึงไปหมด สติที่ลอยหายไปไกลถูกเรียกกลับมาด้วยเสียงเข้มของใครบางคนที่คุ้นเคย “เปล่า” ฉันใช้ฝ่ามือปาดน้ำตาที่หลงเหลือเอ่ออยู่ตรงขอบตาออกอย่างลวก ๆ หันไปมองเขาแว็บหนึ่งแล้วรีบหันกลับมาเพราะไม่อยากให้เห็นว่ากำลังทำอะไรอยู่ ฉันไม่ได้น่าสงสารจนต้องเจอสายตาแบบนั้นที่เขามองมา “แล้วเสียใจอะไรขนาดนั้น” “ก็แค่เจ็บใจ ที่เจอแต่คนเฮงซวยเข้ามาในชีวิต” ฉันตอบออกไปโดยที่ไม่มองหน้าเขา แต่ก็มีคำถามในใจว่าเขามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แถมยังรู้ว่าฉันนั่งร้องไห้อีกต่างหาก นั่นหมายความว่าเขามองอยู่นานแล้วงั้นหรือ “เตือนแล้วไม่ฟัง” พี่ไมเนอร์พูดเสียงเรียบแล้วขยับมานั่งข้างตัวฉัน เว้นระยะห่างกันพอสมควร คำพูดของเขาทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได

