วันรุ่งขึ้น…
ฉันตื่นมาด้วยอาการง่วงงุนตาแทบปิด เพราะเวลาแบบนี้ฉันควรนอนอยู่บนเตียงอย่างสงบ ไม่ใช่ต้องสะดุ้งตื่นเพราะเสียงแจ้งเตือนไลน์ที่ดังรัวไม่หยุดมาตลอดเกือบห้านาที
ฉันตั้งใจปรับเป็นโหมดสั่นไว้แล้วแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้ช่วยอะไรเลย แรงสั่นนั่นสิเหมือนจงใจจะรบกวนให้ฉันตื่นขึ้นมารับรู้ให้ได้
“โว้ย! ใครแม่งไลน์มานักหนา บ้านพ่อมึงไม่มีนาฬิกาหรือไง!” ฉันสบถเสียงดังทั้งที่ตายังปิดอยู่ มือควานหาโทรศัพท์บนโต๊ะหัวเตียงอย่างหงุดหงิด
นิ้วฉันลากจอปลดล็อกอย่างเสียไม่ได้ ก่อนจะเพ่งตามองหน้าจอที่สว่างวาบท่ามกลางห้องมืด ๆ
พอเห็นชื่อไลน์ ฉันถึงกับมองบนอัตโนมัติ ให้ตายเถอะคุณพระ! เพราะคนที่ไลน์มานี่… คือ พี่แทนไท พี่ชายเพื่อนสนิทของฉันเอง
และใช่ค่ะ… ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ เขายังไลน์มาถามเรื่องรถไม่หยุด!
ฉันคิดว่าการซ่อมรถมันก็ว่ายากแล้วนะ…
แต่การรับมือ พี่แทนไท ที่ไลน์มาถาม “อาการรถ” ทุกสองชั่วโมงน่ะ มันยากกว่าร้อยเท่า!
ฉันถอนหายใจเฮือกใหญ่ กดเข้าแอพไลน์อย่างเสียไม่ได้ กล่องแชทของ พี่แทนไท เด้งอยู่บนสุดพร้อมแจ้งเตือนเกือบสิบข้อความติดกัน
ข้อความล่าสุดขึ้นมาว่า
แทนไท: รถเป็นไงบ้างนุ่น มันโอเคไหม
ฉันกลอกตาให้กับหน้าจอ ถามเหมือนคนเป็นเจ้าของรถใจร้อนอะไรมากมายเนี่ย!
นิ้วจิ้มตอบกลับไปแบบไม่รีบร้อนนัก
นุ่น: ตอนนี้โอเคค่ะ แต่ถ้าพี่ถามทุกสองชั่วโมง รถอาจจะงอแงแทนก็ได้นะคะ
ไม่ถึงครึ่งนาที เสียงติ๊งจากแจ้งเตือนก็ดังขึ้นอีกครั้ง
แทนไท: ห่วงรถเฉย ๆ …ไม่ได้ห่วงช่างนะ
ฉันเลิกคิ้ว มุมปากกระตุกยิ้มบางๆ ก่อนตอบกลับไป
นุ่น: ห่วงช่างไม่ต้องหรอกค่ะ ช่างแข็งแรงกว่ารถพี่เยอะ
ยังไม่ทันครบหนึ่งนาที เสียงติ๊งก็ดังขึ้นอีกครั้ง
แทนไท: แข็งแรงกว่ารถ? งั้นพี่ต้องมาลองเทสดูแล้ว
ฉันมองจอแล้วถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ คนบ้าอะไร พูดเหมือนท้าทายกันยังไงไม่รู้ นิ้วฉันพิมพ์ตอบกลับไปทันที
นุ่น: เทสอะไรคะ เทสแรงเครื่อง หรือเทสแรงคน?
แทนไท: อะไรเทสดีล่ะ…แรงเครื่องพี่ไม่ห่วง แต่แรงคน…น่าสนใจกว่า
ฉันยกมือกุมขมับ เหมือนพี่ชายเพื่อนเริ่มจะไม่ใช่แค่ห่วงรถแล้ว แต่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
นุ่น: ถ้าพี่จะเทสแรงคน แนะนำให้จองคิวล่วงหน้าค่ะ คิวช่างเต็มเร็วมาก
แทนไท: งั้นพี่จองยาว ๆ เลยนะ จนกว่ารถจะเสร็จ…แล้วก็เผื่อหลังรถเสร็จด้วย
ฉันชะงักไปหนึ่งวินาที ก่อนหัวเราะหลุดออกมาอีกครั้ง โอ้โห…คนอะไรแซวเนียนเกินไปแล้วนะพี่แทนไท!
ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ปล่อยให้หน้าจอสว่างขึ้นแล้วดับไปเอง ก่อนจะพลิกตัวลุกขึ้นนั่งอย่างเสียไม่ได้ เพราะถ้าจะให้นอนต่อ…ก็คงนอนไม่หลับแล้วแน่ ๆ
เสียงพัดลมเพดานหมุนเอื่อย ๆ ดังคลอไปกับอากาศอุ่น ๆ ในห้อง ร่างฉันยังหนักอึ้งเพราะความง่วงค้างอยู่เต็มเปา แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นนาฬิกา…อา ใช่แล้ว วันนี้วันอาทิตย์นี่นา
ฉันขยี้หัวตัวเองแรง ๆ ไล่ความง่วง ก่อนจะลุกไปอาบน้ำและคว้าเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ตัวสบายมาสวม “ไหน ๆ ก็ลุกแล้ว…ลองแวะไปคาแคร์หน่อยดีกว่า เผื่อมีเอกสารอะไรให้ดูแลบ้าง”
รองเท้าผ้าใบคู่เก่าถูกสวมอย่างคล่องแคล่ว ฉันหยิบกุญแจรถกับโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ก่อนจะก้าวออกจากห้อง เสียงประตูปิดดังแกร็กเหมือนปิดทิ้งความขี้เกียจไว้ข้างใน
เมื่อฉันก้าวออกจากห้อง เสียงทุ้ม ๆ ที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นมาทันที ราวกับสวรรค์ส่งมา…แต่ความจริงคือ เสียงของพ่อฉันนั่นแหละ
“จะไปไหนแต่เช้า วันอาทิตย์แท้ ๆ จะอยู่ติดบ้านไม่ได้หรือไง” พ่อถามเสียงขรึม พลางเหลือบตามองตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนกำลังจับผิด
ฉันถอนหายใจเฮือก ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงกึ่งอ้อนกึ่งบ่น “โธ่พ่อ…หนูจะแวะไปคาแคร์หน่อยค่ะ ไม่ได้ไปนานแล้วนะ มัวแต่มาซ่อมรถให้พ่อทุกวัน คาแคร์หนูคงเจ๊งไปแล้วมั้ง”
พ่อทำหน้าตึงแต่แววตาเหมือนจะกลั้นยิ้ม “ปากนี่นะ…ไป ๆ ไป ถ้ามีลูกค้าก็ช่วยดูด้วยล่ะ อย่าไปนั่งเล่นโทรศัพท์อย่างเดียว”
ฉันสะบัดผมเบา ๆ ก่อนตอบกลับพร้อมยิ้มมุมปาก “ไปทำงานค่ะ ไม่ได้ไปเล่น…เนอะคุณโสภณ”
พ่อทำตาโตขึ้นนิดหนึ่ง “ไป ๆ ไปสักทีเถอะ มัวแต่ยืนกวนอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวงานก็ไม่เสร็จหรอก”
ฉันหัวเราะเบา ๆ พลางหยิบกุญแจรถ “โอเคค่ะพ่อ เดี๋ยวหนูไปดูงานให้ คาแคร์จะได้ไม่ร้างเพราะลูกสาวมัวแต่ซ่อมรถพ่ออยู่”
พ่อส่ายหน้าอย่างเอือม ๆ แต่ก็แอบยิ้มตามหลัง “ให้มันได้อย่างนี้สิ…”
หลังจากนั้น ฉันก็เดินแยกตัวออกมาทางหน้าบ้าน สายตากวาดไปเห็นลานกว้างที่เต็มไปด้วยรถหลายยี่ห้อจอดเรียงรายอยู่ ทั้งซีดานเอวบาง รถสปอร์ตทรงเฉี่ยว ไปจนถึงกระบะตัวแรง แต่ถึงจะมีให้เลือกขนาดนี้ ฉันก็ยังทำตัวเหมือนคนไม่มีรถใช้
เพราะเวลาจะไปไหนมาไหนทีไร… มักจะโทรให้แจมมารับหรือมาส่งตลอด ไม่รู้สิ บางทีมันก็สะดวกกว่าขับเองเยอะ
ฉันเดินตรงไปทางมุมลานจอดที่มีรถกระบะคันโปรดจอดนิ่งราวกับรอเจ้าของมาปลุกให้ตื่น กระบะสีดำด้านคันนี้ไม่ใช่แค่เท่ แต่แรงจริงจัง เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.8 ลิตร แรงบิดสูงติดเท้า รอบมาไวชนิดที่แตะแป้นคันเร่งทีไร เสียงคำรามต่ำ ๆ ของมันก็ดังก้องขึ้นมาในอก
ฉันชอบกระบะคันนี้เพราะมันทั้งดิบ ทั้งหนักแน่น และซื่อตรงต่อคนขับ ไม่มีเซนเซอร์ช่วยจุกจิกเหมือนรถรุ่นใหม่ ๆ เวลาขับออกทริปหรือวิ่งงานไกล มันก็ยังตอบสนองได้ดีไม่มีอาการอืดให้รำคาญใจ
ฉันเปิดประตูฝั่งคนขับ เสียงเหล็กบานหนักดัง กึ่ก อย่างมั่นคง กลิ่นหนังผสมกลิ่นน้ำมันเครื่องจากการใช้งานยังคงอบอวลอยู่ข้างใน ฉันนั่งลง สอดกุญแจหมุนสตาร์ต เครื่องยนต์ก็ขานรับด้วยเสียงคำรามต่ำ ๆ ที่ทำให้มุมปากฉันยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว
“คิดถึงจังเลย สิงโตของแม่” ฉันพึมพำออกมาเสียงนุ่ม พลางยื่นมือไปลูบวน ๆ ที่พวงมาลัยเหมือนกำลังลูบหัวสัตว์เลี้ยงตัวโปรด เนื้อหนังของพวงมาลัยยังแน่นและนุ่มมือ กลิ่นหนังผสมกลิ่นน้ำมันจาง ๆ ทำให้หัวใจฉันพองโต
เครื่องยนต์ตอบสนองทันทีที่ฉันเลื่อนเกียร์ ความแรงจากสิงโตคู่ใจพุ่งกระแทกหลังให้ติดเบาะ เสียงคำรามจากท่อไอเสียดังลั่นราวกับกำลังปลุกเช้าวันอาทิตย์ให้ตื่นเต็มตา
ล้อหน้ายึดถนนแน่นเหมือนรู้ใจ ขณะที่แรงม้าภายใต้ฝากระโปรงพร้อมจะพุ่งไปข้างหน้าได้ทุกเมื่อ ฉันเหลือบมองกระจกมองหลัง เห็นภาพบ้านค่อย ๆ เล็กลง ก่อนหันกลับไปมองถนนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
“ไปคาแคร์กันสิงโต… วันนี้เรามีงานให้ทำ” ฉันพูดเสียงเรียบ แต่ในใจเต็มไปด้วยแรงกระตุ้นที่จะได้ลงมือจัดการอะไรสักอย่าง
พวงมาลัยในมือฉันกระชับมั่น เส้นทางข้างหน้าสะท้อนแดดระยิบระยับราวกับกำลังท้าทายให้เราไปให้สุด
ลมเช้าปะทะหน้าแรงขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ฉันขับสิงโตพุ่งไปตามถนนโล่ง เสียงเครื่องยนต์ผสานกับเสียงยางบดถนนเหมือนดนตรีที่ฉันคุ้นเคย
เมื่อเลี้ยวเข้าซอยที่คาแคร์ตั้งอยู่ กลิ่นน้ำยาล้างรถและแชมพูโฟมก็ลอยมาแตะจมูกตั้งแต่ยังไม่จอดดี ฉันเหยียบเบรกเบา ๆ ก่อนจอดสิงโตตรงมุมประจำ เสียงเครื่องยนต์ค่อย ๆ สงบลง ราวกับมันเองก็รู้ว่าถึงบ้านอีกหลังแล้ว
ฉันดับเครื่องแล้วลูบพวงมาลัยเบา ๆ “พักก่อนนะ เดี๋ยวเราค่อยลุยงานด้วยกัน”
ประตูกระจกคาแคร์ถูกผลักออก เสียงกระดิ่งเหนือบานประตูดัง กริ๊ง! พร้อมกับสายตาหลายคู่ที่หันมามองทันที
“อ้าว! เจ๊นุ่น! โผล่มาแต่เช้าเลยนะครับ!” เสียงตะโกนทักของลูกน้องดังมาจากมุมล้างรถ
ฉันยกยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปพร้อมเสียงส้นรองเท้ากระทบพื้นคอนกรีตเบา ๆ “ไม่ได้โผล่มานาน กลัวพวกมึงจะลอยตัวไปนั่งเล่นมากกว่าทำงานน่ะสิ”
เสียงหัวเราะดังขึ้นบางเบา ก่อนเสียงหนึ่งจะแทรกมา “โห้ เจ๊… ผมนี่ตั้งใจสุดแล้วครับ”
ฉันหันไปตามเสียง เห็นไอเตอร์กำลังเช็ดรถเงาวับอยู่พอดี มือยังขยับไปมาเหมือนตั้งใจเต็มที่ แต่ดวงตาเจ้ากรรมดันมองเลยไปทางร้านกาแฟข้าง ๆ เสียมากกว่า
ฉันหัวเราะในลำคอเบา ๆ “มึงนี่แหละตัวดี ไอเตอร์” สายตากวาดมองตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะปรายตาไปที่รถตรงหน้า “ตั้งใจล้างรถ…หรือส่องสาววะ”
ไอเตอร์หันมาเกาหลังคอ แอบยิ้มเจื่อน “โธ่เจ๊ นี่เขาเรียกใช้สายตาพักผ่อนบ้าง ทำงานหนักก็ต้องผ่อนคลายนิดนึง”
ฉันส่ายหัวอย่างปลง ๆ แต่มุมปากก็ยังยกยิ้ม นี่มันคาแคร์ฉันจริง ๆ เสียงหัวเราะ เสียงแซว และความวุ่นวายแบบนี้ ไม่เคยเปลี่ยนเลย