“รู้สึกว่ามันพิเศษ”

1582 Words
ร้านอาหารเงียบสงบ มีแสงไฟสลัว ๆ ส่องลงมาจากโคมแขวนด้านบน ทำให้โต๊ะไม้ทุกตัวดูอบอุ่นและเป็นส่วนตัว กลิ่นอาหารหอมอ่อน ๆ ลอยมาจากครัว ใครเดินผ่านก็ได้กลิ่นเครื่องเทศเบา ๆ ผสมกลิ่นเนื้อย่างและขนมอบ เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังเป็นจังหวะช้า ๆ เสริมบรรยากาศโรแมนติก เบื้องหลังมีเพลงแจ๊สเบา ๆ คลอ ทำให้ทุกการสนทนารู้สึกใกล้ชิดและเป็นส่วนตัว เสียงหัวเราะและพูดคุยของโต๊ะอื่น ๆ ไม่ดังเกินไป จนทำให้เธอและเขารู้สึกเหมือนโลกนี้เหลือแค่สองคน “เป็นยังไง…ชอบไหม” เขาถาม เสียงเรียบ ๆ แต่แฝงความตั้งใจ “บรรยายดีมากเลยค่ะ…แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ พี่แทนน่าจะให้เวลานุ่นอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ” ฉันตอบ พลางก้มหน้าพลางยิ้มเขิน “ฮ่า ๆ พี่รีบน่ะ นุ่นตอบตกลงแล้ว พี่ก็เลยออกมารับเลย กลัวเราจะเปลี่ยนใจ” เขายิ้มมุมปาก ท่าทางกวน ๆ เล็กน้อย แต่ก็ทำให้ใจฉันเต้นแรงขึ้น “แล้วพี่คิดยังไง ชวนนุ่นมากินข้าวด้วยล่ะ” ฉันถาม พลางมองหน้าเขาอย่างสงสัย “ไม่รู้สิ…แค่อยากมีเพื่อนกินข้าวด้วย” เขาตอบเรียบ ๆ แต่ฟังดูอบอุ่น รอบ ๆ ตัวเงียบสงบ แสงไฟสลัว ๆ จากโคมแขวนทำให้โต๊ะไม้ดูอบอุ่น เสียงช้อนส้อมกระทบจานดังเป็นจังหวะช้า ๆ คลอไปกับเพลงแจ๊สเบา ๆ “แล้วไม่ชวนแจมละคะ?” ฉันแกล้งถาม น้ำเสียงยียวน “พอเลย…กินข้าวกับไอแจม พี่กินคนเดียวดีกว่า” เขาตอบพร้อมยิ้มมุมปาก ฉันหัวเราะเบา ๆ พลางมองไปรอบ ๆ ร้าน “ฮ่า ๆ นี่นุ่นมีเรื่องไปฟ้องไอแจมได้หลายเรื่องแล้วนะเนี่ย” ไออุ่นจากร่างเขาและความใกล้ชิดทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้น แม้บรรยากาศจะเงียบสงบ แต่เหมือนโลกนี้เหลือแค่เราสองคน หลังจากนั้นไม่นาน พนักงานก็เดินเข้ามาในโต๊ะของเราอย่างสุภาพ มือถือถาดอาหารเรียงเป็นระเบียบ “ขออนุญาตครับ อาหารที่สั่งมาแล้วครับ” เขากล่าวพร้อมวางจานทีละจาน บนโต๊ะปรากฏอาหารหรู ฟัวกราส์วางคู่กับซอสเบอร์รี่เข้มข้น, ล็อบสเตอร์อบเนยสดพร้อมกลิ่นหอมฉุนเล็กน้อย, และสเต็กเนื้อวากิวชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมมันบดเนียนนุ่มและผักออร์แกนิกสีสันสดใส พนักงานจัดวางช้อนส้อมเงินเงาและแก้วไวน์คริสตัล พร้อมเอ่ยสุภาพ “ขอให้ทานให้อร่อยนะครับ หากต้องการอะไรเพิ่มเติมสามารถเรียกได้เลยครับ” เมื่อพนักงานเดินออกไป เหลือเพียงเสียงเบา ๆ ของช้อนส้อมกระทบจาน แสงไฟสลัวจากโคมแขวนสะท้อนบนผิวอาหาร ทำให้ทุกจานดูน่ากินและหรูหรา ฉันหันไปมองหน้าเขาเล็กน้อย รู้สึกถึงไออุ่นจากร่างเขาที่นั่งตรงข้าม พร้อมรอยยิ้มมุมปากที่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “หูยยย ปกติพี่แทนไทกินข้าวแบบนี้ทุกมื้อเลยไหมเนี่ย” ฉันถามพลางตาเป็นประกายเมื่อมองอาหารหรูตรงหน้า “ไม่นะ…ปกติพี่ก็กินข้าวตามสั่งธรรมดา แต่วันนี้รู้สึกว่ามันพิเศษ เลยสั่งแบบนี้มา” เขาตอบเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงรอยยิ้มมุมปาก “อ่อออ…นุ่นนึกว่าวันพิเศษของพี่มีทุกวันซะอีก” ฉันหัวเราะเบา ๆ พลางยกช้อนขึ้น “ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ?” เขามองฉันด้วยสายตาเอียงคิ้วเล็กน้อย “โธ่ ชื่อพี่นี่ติดอันดับความเจ้าชู้ของคณะเราเลยนะ นี่พี่ไม่รู้หรอ” ฉันแอบเขินแต่ก็ไม่ยอมหุบยิ้ม “ไม่อ่ะ…พี่ไม่ค่อยสนใจเรื่องแบบนั้น” เขาพูดเรียบ ๆ พลางมองอาหารตรงหน้า แต่ก็ทำให้ฉันหัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก “แล้วเราเชื่อข่าวมันด้วยหรือเปล่า” เขาถามพลางยกช้อนขึ้นเตรียมชิมอาหาร “ข่าวไหน…อ่อ เรื่องที่พี่เจ้าชู้อ่ะนะ” ฉันทำท่าคิด พักสายตาไปที่จานอาหาร “ไม่รู้สิ…นุ่นไม่ค่อยสนใจเท่าไรว่าใครเจ้าชู้หรือไม่เจ้าชู้” ฉันพูดพลางยิ้มอย่างเป็นกันเอง “แล้วถ้านุ่นมีแฟนเป็นคนเจ้าชู้ จะทำยังไง” เขาเอียงคอถาม พลางสบตาฉันเล็กน้อย “ไม่เห็นต้องทำอะไรเลย ชีวิตคนเรามันต้องเจออะไรแบบนี้อยู่แล้ว สีสันชีวิตดีออก” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงขี้เล่น พลางหัวเราะเบา ๆ ทำให้เขายิ้มตาม “ไม่กลัวเสียใจหรอ” เขาถาม พลางมองตาฉันอย่างสงสัย “ก็กลัวแหละ…” ฉันยิ้มบาง ๆ พลางก้มมองอาหารตรงหน้า “แต่ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตไง” ฉันพูดต่อ น้ำเสียงเบา ๆ แต่แฝงความมั่นใจ ทำให้เขาหัวเราะเบา ๆ ตาม หลังจากที่ฉันพูดจบ ฉันยื่นมือไปตักสเต็กบนจาน แต่เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นซะก่อน โธ่…สเต็กฉันนนน! มือฉันชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะผละออกอย่างเสียดายแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ปรากฏว่ารายชื่อที่โทรเข้ามาคือพ่อของฉัน หัวใจเต้นแรงปนกับความหงุดหงิดเล็ก ๆ แต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ร้าน เงียบสงบ มีแสงไฟสลัว ๆ และเสียงเพลงแจ๊สคลอเบา ๆ ทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้ เขาที่นั่งตรงข้ามมองฉันด้วยสายตาแปลกใจเล็กน้อย พร้อมรอยยิ้มมุมปาก ทำให้ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศตึงเครียดจากสายโทรศัพท์ผ่อนคลายลงทันที ฉันวางช้อนซ่อมลงบนจานด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นมากดรับสายของพ่อ “ฮัลโหล… มีอะไรหรือเปล่า?” เสียงฉันแผ่วเบาเล็กน้อย ใจเต้นนิด ๆ เหมือนรู้สึกว่าพ่อคงจะโทรมาด่วน ปลายสายมีเสียงพ่อเรียบ ๆ แต่หนักแน่น “นุ่น… อยู่ไหน?” ฉันกวาดสายตาไปรอบ ๆ ร้านอาหาร ก่อนตอบเสียงเรียบแต่มั่นใจ “ตอนนี้นุ่นอยู่ร้านอาหารตรงสามแยกซอยสาม” ปลายสายพ่อพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่เร่งเล็กน้อย “ลูกค้าพ่อโทรมาบอกว่ารถเสีย จอดอยู่ซอยห้า แกไปดูให้พ่อหน่อยได้ไหม พ่อติดทำรถที่ร้านอยู่” ฉันพยักหน้ากับตัวเองพลางตอบทันที “ได้ๆ งั้นเดี๋ยวนุ่นไปดูให้เลย” “อืมๆ พ่อฝากหน่อยแล้วกัน” พ่อพูดสั้น ๆ แต่ความกังวลแฝงอยู่ในน้ำเสียง หลังจากที่ฉันวางสายไป พี่แทนไทซึ่งนั่งฟังฉันคุยกับปลายสายตั้งแต่ต้น ก็ยกคิ้วมองพร้อมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเรียบแต่แฝงความสนใจ “เป็นอะไรหรือเปล่า นุ่น?” ฉันรีบอธิบายพร้อมเก็บรอยยิ้มเล็ก ๆ “พอดีลูกค้าของพ่อรถเสียอยู่ซอยห้าน่ะค่ะ พ่อเลยอยากให้นุ่นไปดู ยังไงนุ่นขอตัวไปก่อนนะ ส่วนเรื่องอาหาร พี่ส่งยอดมาได้เลย เราช่วยกันคนละครึ่ง” พูดจบ ฉันก็เดินออกจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว แต่ก้าวไปไม่ไกลก็หยุดชะงักอยู่ตรงริมถนน เพราะเพิ่งนึกขึ้นได้… พี่แทนไทเป็นคนมารับฉันนี่นา แต่ก่อนที่ฉันจะทันตั้งตัว ข้อมือใหญ่ก็เข้ามาดึงแขนฉันไว้แน่น “นุ่น มากับพี่ เดี๋ยวพี่ไปส่งดีกว่า” “อ๋อ… งั้นรบกวนหน่อยนะคะ” ฉันเงยหน้าขึ้นตอบเขาเบา ๆ แฝงรอยยิ้มจาง ๆ ในเสียง พี่แทนไทพยักหน้ารับ ก่อนจะคลายแรงจับข้อมือ แต่ยังคงเดินเคียงข้างเหมือนคอยกันให้ฉันไม่ต้องรีบเร่ง ลมเย็นจากแอร์ร้านอาหารยังตามออกมาถึงหน้าประตู ก่อนถูกแทนที่ด้วยอากาศร้อนของยามดึก เสียงเครื่องยนต์จากถนนใหญ่ดังประสานกับฝีเท้าของเรา ฉันก้มหน้ามองทางแต่หัวใจก็เต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ รู้สึกเหมือนฝ่ามือยังอุ่นอยู่ตรงจุดที่เขาจับเมื่อครู่ พี่แทนไทกดรีโมตรถ เสียงล็อกปลดดัง แกร๊ก เขาเดินนำไปเปิดประตูฝั่งข้างคนขับให้ ฉันลังเลนิดหนึ่งก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่ง กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากน้ำหอมในรถทำให้บรรยากาศข้างในยิ่งอบอวลด้วยความรู้สึกแปลกประหลาดที่ฉันไม่กล้าจะตั้งชื่อ รถเคลื่อนออกจากลานจอดอย่างนุ่มนวล เสียงเครื่องยนต์เบา ๆ ทำให้ภายในรถยิ่งเงียบจนฉันได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเอง พี่แทนไทเหลือบมองฉันแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “พ่อให้ไปดูรถเสีย… นุ่นทำเป็นเหรอ?” น้ำเสียงเขาไม่ได้ล้อ แต่เหมือนแฝงความสงสัยปนเป็นห่วง ฉันหัวเราะเบา ๆ “ก็ต้องไปดูที่หน้างานก่อนว่ารถมันเป็นอะไร” “อืม… แล้วถ้าไปเจอคนไม่ดีล่ะ” เขาถามพลางกดไฟเลี้ยว น้ำเสียงยังเรียบ แต่สายตาที่มองถนนเหมือนกำลังคุมทุกสถานการณ์ ฉันเผลอกัดริมฝีปาก “ก็…นุ่นคงโทรหาพี่มั้ง” ได้ยินแบบนั้นมุมปากเขาก็ยกขึ้นนิดหนึ่ง “ไม่ต้องมั้ง เดี๋ยวพี่อยู่ด้วยเลยดีกว่า” หัวใจฉันกระตุกวูบ รู้สึกเหมือนคำพูดนั้นไม่ได้หมายถึงแค่วันนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้ถามต่อ เพียงแค่แอบซ่อนรอยยิ้มไว้ในใจ ไม่นานนัก รถก็เลี้ยวเข้ามายังซอยห้า เสียงพี่แทนไทพูดขึ้นอีกครั้ง “รถคันไหนหรอ” ฉันชี้ไปยังรถกระบะสีเทาที่จอดอยู่ข้างทาง ไฟฉุกเฉินกระพริบอยู่เงียบ ๆ ท่ามกลางความมืด
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD