ฉันขึ้นรถนั่งข้างพ่อ ขณะที่พี่แทนไทยืนส่งเราที่ข้างรถของพ่อ แสงไฟถนนสาดสะท้อนบนพื้นเปียกเล็กน้อยจากความชื้นยามค่ำ ทำให้เงาของเรายาวทอดลงบนพื้นอย่างชัดเจน
ฉันหันไปมองพี่แทนไท แสงไฟสลัว ๆ สะท้อนบนดวงตาคมของเขา รู้สึกทั้งอบอุ่นและปลอดภัย แม้ค่ำคืนนี้จะเงียบสงัดและเย็นจนผิวหนังสัมผัสได้
“ขอบคุณมากนะคะพี่แทนที่มาช่วยดูรถและพานุ่นมาส่ง” ฉันเอ่ยเสียงเบา พร้อมรอยยิ้มอ่อน ๆ
พี่แทนไทยพยักหน้า น้ำเสียงเรียบแต่มั่นคง
“ไม่เป็นไร… ขับรถกลับบ้านดี ๆ ล่ะ”
ฉันยิ้มบาง ๆ ตอบพี่แทน แต่หางตาก็เหลือบไปเห็นพี่แม็กกับคุณลุงยืนอยู่ใกล้ ๆ เลยเอ่ยลาก่อนเบา ๆ
“ขับรถกลับดี ๆ นะคะคุณลุง… นุ่นไปนะคะ พี่แม็ก”
พี่แม็กพยักหน้าเล็ก ๆ รอยยิ้มของเขาอบอุ่นแต่เรียบง่าย
“ไปดี ๆ นะนุ่น”
เสียงเครื่องยนต์รถของพ่อเบา ๆ พลางสตาร์ท พาพวกเราค่อย ๆ แล่นออกจากซอย แสงไฟถนนสาดสะท้อนบนพื้นเปียก เส้นผมของฉันปลิวไหวตามลมกลางคืน
ฉันรู้สึกทั้งอบอุ่นและปลอดภัย แม้หัวใจยังเต้นแรงจากความใกล้ชิดและสายตาที่พวกเขามองมา
ค่ำคืนนี้แม้เงียบสงัด แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและความห่วงใยที่ล้อมรอบตัวฉันอย่างชัดเจน
ฉันนั่งลงบนเบาะข้างพ่อ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง แสงไฟจากถนนสะท้อนบนพื้นเปียกชื้น ทำให้ค่ำคืนนี้ทั้งเงียบสงัดและสงบเย็น
“ไอ้สองคนนั้นเป็นใคร” เสียงพ่อดังขึ้นแทรกความคิดของฉัน
ฉันหันไปมองพ่ออย่างไม่แน่ใจ “พี่แทนกับพี่แม็กน่ะหรอ”
“ใช่… ใครกันแน่ มันมาจีบลูกพ่อเหรอ” น้ำเสียงพ่อเหมือนจริงจัง แต่แฝงแววแหย่ชัดเจน
“พ่อ!!” ฉันโพล่งออกมาอย่างตกใจ หน้าเริ่มร้อนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“จีบอะไรกันเล่า พี่แทนเขาเป็นพี่ชายของเพื่อนนุ่น พอดีนัดมากินข้าวแล้วคุยเรื่องรถเฉย ๆ ส่วนนั้น… พี่แม็ก เขาเป็นลูกค้าประจำที่คาแคร์”
“ไอ้คนที่ชื่อแทน… พ่อว่ามันดูเจ้าชู้ยังไงก็ไม่รู้ พ่อไม่ค่อยชอบเท่าไร” พ่อพูดขึ้นมาเสียงเรียบ แต่ฉันฟังแล้วรู้เลยว่ามีแววไม่ไว้ใจชัดเจน
ฉันหันขวับไปมอง “พ่อจะบอกว่า… พ่อชอบพี่แม็กว่างั้นสิ?” น้ำเสียงฉันออกจะงอน ๆ หน่อย
พ่อหัวเราะในลำคอเบา ๆ “ก็เขาดูมีภูมิฐานดี แล้วก็น่าจะรักครอบครัวอยู่”
ฉันกลอกตา ถอนหายใจพลางกอดอก “เฮ้อ… พ่อก็พูดไปเรื่อย นั่นมันลูกค้านะพ่อ จะให้ไปมองเขาแบบนั้นได้ยังไงเล่า”
“เอ้า ก็บอกความเห็นเฉย ๆ นี่หว่า ลูกจะไปหงุดหงิดอะไรนัก” พ่อหันมายิ้มกวน ๆ แววตาเต็มไปด้วยท่าทีแอบแหย่
แต่ทันใดนั้น น้ำเสียงพ่อก็อ่อนลงจริงจังขึ้นเล็กน้อย “จะเลือกใครก็ดูดี ๆ นะลูก พ่อไม่อยากให้นุ่นเสียใจ”
ฉันเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนถอนหายใจเบา ๆ “นุ่นยังไม่สนใจเรื่องนี้หรอกพ่อ ทุกวันนี้เอาแค่ช่วยซ่อมรถอยู่กับพ่อก็แทบจะไม่มีเวลาแล้ว ไหนจะเรียนอีก…”
พ่อเหลือบมามองฉันผ่านหางตา ดวงตาอบอุ่นเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “พ่อก็รู้… แต่พ่อก็อยากให้ลูกมีความสุข ไม่ใช่เอาแต่เหนื่อยกับงานของพ่ออย่างเดียว”
ฉันยิ้มบาง ๆ หัวใจอุ่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “แค่นี้นุ่นก็มีความสุขแล้วพ่อ ไม่ต้องห่วงหรอก”
รถยังคงแล่นไปท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืน เสียงลมพัดผ่านหน้าต่างดังแผ่วเบา เหมือนกำลังห่อหุ้มการสนทนาสั้น ๆ ของเราให้เก็บไว้ในความทรงจำอย่างอบอุ่น
รถค่อย ๆ เลี้ยวเข้ามาจอดในลานหน้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ดับลง เหลือเพียงความเงียบสงัดของค่ำคืนกับเสียงจิ้งหรีดดังระงมเบื้องหลัง
“ถึงแล้ว… ลงไปพักผ่อนได้แล้วนุ่น พรุ่งนี้ยังมีเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ” พ่อเอ่ยพร้อมหันมามองฉัน แววตาเต็มไปด้วยความห่วงใย
“ค่ะพ่อ” ฉันตอบเบา ๆ ก่อนเปิดประตูลงจากรถ อากาศเย็นยามดึกปะทะเข้ากับผิวกายจนรู้สึกขนลุกนิด ๆ
พ่อเดินตามเข้ามาในบ้าน เอ่ยสั้น ๆ อีกครั้ง “รีบอาบน้ำแล้วนอนนะ อย่าเล่นโทรศัพท์ดึก”
ฉันหัวเราะเบา ๆ “นุ่นรู้แล้ว”
เมื่อเข้ามาในห้องตัวเอง ฉันทิ้งตัวลงบนเตียง แสงไฟสีส้มอุ่นจากโคมเล็กข้างหัวเตียงทำให้บรรยากาศดูสงบมากขึ้น แต่ภายในใจกลับยังไม่นิ่งอย่างที่ควรจะเป็น…
ภาพพี่แทนไทที่ยืนมองตามอย่างเงียบ ๆ กับคำพูดของพ่อที่บอกว่า “มันดูเจ้าชู้” ยังวนเวียนในหัวไม่จางหาย ขณะเดียวกันรอยยิ้มอบอุ่นของพี่แม็กก็คอยแทรกเข้ามา ทำให้หัวใจฉันยิ่งสับสน
ฉันพลิกตัวบนเตียง สูดหายใจเข้าลึก ๆ พยายามไล่ความคิดวุ่นวายออกไป
ไม่หรอก… ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาคิดเรื่องพวกนี้
แต่ไม่ว่าจะพยายามบอกตัวเองยังไง หัวใจก็ยังเต้นแรงทุกครั้งที่ภาพของใครบางคนแวบเข้ามา…
ดวงตาฉันค่อย ๆ ปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า หลังจากทั้งวันวุ่นวายกับเรื่องงาน เรื่องรถ และเรื่องที่พ่อพูดวนไปวนมา ในที่สุดร่างกายก็ยอมแพ้ให้กับความง่วง
…แต่ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ภาพในความฝันก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้น
ฉันยืนอยู่ริมถนนมืด เงียบสงัด ไฟถนนกระพริบแสงวูบวาบเหมือนใกล้จะดับ เสียงฝีเท้าใครบางคนดังใกล้เข้ามา
“นุ่น…” เสียงทุ้มอบอุ่นของพี่แทนดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันหันไปเห็นเขาเดินตรงเข้ามา ดวงตาสบกันในเงามืด ราวกับจะบอกบางสิ่งที่ไม่เคยพูดออกมา
แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยตอบ เสียงอีกเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้นจากอีกฟาก “นุ่น… ทางนี้”
ฉันหันไป เห็นพี่แม็กยืนอยู่ข้าง ๆ กระบะสีเทาที่คุ้นตา แสงไฟจากเสาไฟเพียงดวงเดียวลงบนเขา ทำให้รอยยิ้มของพี่แม็กดูอบอุ่น ปลอดภัย และมั่นคง
ฉันยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน หัวใจเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้ ก้าวขาไม่ออก ราวกับมีบางสิ่งรั้งไว้
จะเดินไปทางไหนดี… เสียงในใจฉันดังขึ้น แต่ทันใดนั้นไฟถนนก็ดับพรึ่บ ความมืดโอบล้อมทุกสิ่ง ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาบนเตียง หัวใจเต้นแรงไม่ต่างจากตอนอยู่ในฝัน
ฉันลูบหน้าเบา ๆ สูดหายใจลึก พยายามข่มความรู้สึกวุ่นวายที่ยังตามมาไม่หยุด
ฝันก็แค่ฝัน… แต่ทำไมถึงเหมือนจริงขนาดนี้นะ
แสงแดดยามเช้าส่องลอดผ่านม่านบาง ๆ เข้ามาในห้อง ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เสียงนาฬิกาปลุกดังแผ่ว ๆ เคล้ากับเสียงนกร้องนอกหน้าต่าง
ฉันพลิกตัวนอนหงาย มองเพดานเงียบ ๆ ความฝันเมื่อคืนยังชัดเจนราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ ทั้งเสียงพี่แทนที่เรียกชื่อฉัน ทั้งรอยยิ้มของพี่แม็ก ทุกอย่างยังวนเวียนไม่หายไปไหน
ทำไมถึงต้องฝันถึงทั้งสองคนพร้อมกันด้วยนะ… ฉันบ่นกับตัวเองเบา ๆ พลางถอนหายใจ ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผมเผ้ายุ่งเหยิงจนต้องรีบรวบขึ้นลวก ๆ
ฉันตะโกนตอบกลับพ่อเสร็จเลยลุกไปอาบน้ำแต่งตัว เสียงน้ำจากฝักบัวดังกลบความเงียบในห้องน้ำ แต่กลับไม่ได้ล้างความคิดที่ยังค้างอยู่ในหัวออกไปเลย
ภาพความฝันเมื่อคืนยังฉายซ้ำอยู่ในใจ ฉันยืนอยู่ตรงกลางระหว่างพี่แทนกับพี่แม็ก… สองสายตาที่ไม่เคยหันมามองพร้อมกันมาก่อน แต่ในฝันนั้นกลับทำให้ฉันรู้สึกเหมือนถูกดึงคนละทางจนแทบหายใจไม่ออก
ฉันส่ายหัวแรง ๆ พยายามสะบัดความคิดนั้นออกไป
พอได้แล้วนุ่น… วันนี้ยังมีเรียนอีก จะมัวแต่คิดเรื่องบ้า ๆ ไม่ได้
หลังจากแต่งตัวเรียบร้อย ฉันมองกระจกตรงหน้า สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อบังคับตัวเองให้กลับมามีสมาธิ ใบหน้าที่สะท้อนกลับมามีแววอ่อนล้าเล็กน้อย แต่ดวงตากลับยังแฝงความดื้อดึงเอาไว้เต็มที่
ฉันสะพายกระเป๋าไหล่แล้วเดินลงบันไดไป กลิ่นกาแฟยังอวลอยู่ทั่วบ้าน พ่อหันมามองแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดบ่นนิด ๆ
“นี่ถ้าไม่เรียก คงมัวแต่นอนจนลืมเวลาไปแล้วล่ะสิ”
“เปล่าสักหน่อยน่า…” ฉันตอบพลางนั่งลงตรงโต๊ะอาหาร ตักข้าวเข้าปากอย่างลวก ๆ แต่สายตากลับเหม่อออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง ความรู้สึกที่กดทับยังตามมาทันไม่ว่าฉันจะพยายามหนีมันแค่ไหน