ทอส ธีรภพ
ที่นี่ที่ไหนเนี่ยทำไมบรรยากาศดูแปลกๆ แบบนี้ มันอึมครึมสลัวๆ ไม่มีแสงสว่างจากมุมใดแม้แต่น้อย มันคืออะไรแล้วที่นี่มันที่ไหน ผมย่ำเท้าลงบนพื้นโดยที่ไม่รู้ว่าพื้นที่ผมก้าวเดินอยู่นั้นเป็นพื้นลักษณะใดเป็นพื้นดิน พื้นปูน พื้นหญ้าหรือพื้นทราย ผมยังย่ำเท้าต่อไปอย่างไม่มีจุดหมายเพราะรอบกายของผมทุกอย่างมันมืดไปหมด สักพักผมก็รู้สึกหนาวสะท้านจับขั้วหัวใจขึ้นมาเพราะอากาศเริ่มเย็นอย่างเฉียบพลันจนผมแทบตั้งตัวไม่ทัน มันรู้สึกหนาวจนผมรู้สึกปวดข้างในกระดูก ผมยกมือขึ้นมากอดอกด้วยความหนาวเหน็บ..
"ทำไมหนาวจังเลย ที่นี่มันที่ไหนใครก็ได้ช่วยบอกผมที..(เสียงก้องสะท้อน)" ไม่มีเสียงตอบรับจากใครที่ผมร้องถาม มันดูเงียบสงัดเสียเหลือเกินจนผมรู้สึกกลัว ผมกลัวจริงๆ มันคือที่ไหนกันแน่ผมพยายามจับทิศทางของลมที่พัดมาถูกผิวกายของผมเพราะผมคิดว่า ถ้ามีลมสามารถพัดมาต้องผิวกายของผมได้ นั่นก็หมายความว่าทางนั้นคงจะเป็นทางเข้าของสายลมเช่นกัน ผมรีบวิ่งไปยังทิศทางที่คิดว่าน่าจะเป็นทางต้นลมด้วยความเร็ว ผมคาดการณ์ผิดเมื่อจู่ๆ สายลมต่างพัดมาต้องผิวกายผมหลายทิศทางทำให้ผมรู้สึกสับสนและหวาดกลัวมาก นอกจากสายลมที่สร้างความปั่นป่วนกับความหวาดกลัวให้ผมแล้วนอกจากนี้ก็ยังมีเสียงฟ้าร้องคำรามอยู่รอบๆ ตัวผม ท้ายที่สุดสิ่งที่ผมไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เสียงชายแก่หัวเราะดังก้องกังวาลอยู่ทุกทิศทางที่ผมจะย่ำเท้าก้าวไป
"ฮาๆๆ..." ผมรู้สึกกลัวจนตัวสั่นสะท้านผมออกวิ่งอย่างสุดชีวิต วิ่งไปอย่างไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่น้ำเสียงของชายแก่ก็ยังคงหัวเราะและดังขึ้นเรื่อยๆ จากทางด้านหลังของผมยิ่งส่งให้ผมต้องออกแรงวิ่งด้วยความเร็วมากขึ้นหลายเท่า ไม่รู้ว่าผมวิ่งไปไกลอีกเท่าไหร่ แล้วผมต้องวิ่งไปอีกนานแค่ไหนถึงจะพบทางออกแต่เสียงของชายแก่บัดนี้ได้หายไปแล้วทำให้ผมรู้สึกโล่งใจและดีใจขึ้นมานิดนึง วินาทีนั้นผมเหมือนหนีเสือปะจระเข้ ในขณะที่ผมกำลังหยุดพักเหนื่อยจากการวิ่งในระยะไกลผมก็ต้องแทบช็อคกับภาพหญิงสาวที่ไร้ศีรษะในชุดสีขาวเปื้อนเลือดแดงฉานไปทั้งตัว ยืนอยู่ด้านหน้าของผมซึ่งเธออยู่ห่างจากผมไม่ถึงเมตร ผมแทบช็อกทำอะไรไม่ถูก ยืนมือไม้สั่นด้วยความตกใจกลัว ผมตั้งใจจะหันหลังกลับแล้วจะวิ่งหนึ่งเธอไปอีกทางหนึ่ง ไม่ทันที่ผมจะได้ก้าวขาก็มีมือใหญ่มาจับที่ข้อเท้าของผมไม่ให้ไปไหน ผมพยายามดิ้นทุรนทุรายเพื่อให้มือใหญ่นั้นหลุดออกจากข้อเท้าพร้อมทั้งส่งเสียงร้องโวยวายขอความช่วยเหลือเพื่อให้รอดตายแต่กลับไม่มีเสียงใดตอบรับ สรุปผมต้องตายที่นี่ใช่ไหม ผมหลับตาปี๋พร้อมกับยกมือทั้งสองข้างขึ้นเพื่อปิดหูของตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรู้อะไรว่าสิ่งรอบกายของผมมันน่ากลัวและสยองมากมายเพียงใด
ผมภาวนานึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมเคารพ นึกถึงคนที่ผมรักทุกคนแต่แล้วก็เหมือนว่าคำภาวนาของผมส่งผลให้ผมปลอดภัย เมื่อจู่ๆ ก็เกิดแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาในพริบตา ผมต้องหรี่ตาขึ้นอย่างช้าๆ เพื่อให้ดวงตาของผมได้ปรับกับสภาพความสว่างจ้านั้น เมื่อทุกอย่างเป็นปกติผมจึงรู้ว่ารอบๆ กายของผมทุกอย่างเป็นสีขาวหมด ไม่มีสีอื่นแปดเปื้อนเลยแม้แต่น้อย ความคิดหนึ่งวิ่งปรี๊ดเข้ามาในหัวสมองของผมทันทีหรือว่าที่นี่คือสวรรค์ นั่นก็หมายความว่าผมตายแล้วเเหรอ ผมจะตายได้ยังไง ผมยังไม่ได้เป็นอะไรเลย แล้วผมจะตายได้ยังไงผมพยายามนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวผมบ้างจนผมต้องมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ผมก็กลับไม่รู้สาเหตุและหาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ว่าเหตุใดผมต้องมาอยู่ที่นี่..
"ทอส!" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังของผม เสียงนั้นเป็นเสียงที่ผมคุ้นเคย เป็นเสียงที่ผมอยากได้ยิน มากที่สุด เป็นเสียงที่ผมต้องการที่จะรับฟังในตอนนี้ ผมรีบหันไปหาต้นเสียงนั้นด้วยความดีใจจนบอกไม่ถูก
แล้วผมก็พบเข้ากับชายคนที่ผมรักมาก ทั้งยังเป็นคนที่ผมต้องการจะเจอหน้าที่สุดในชีวิตตอนนี้ นาทีนี้และวินาทีนี้ด้วย ผมไม่รอช้าจึงรีบวิ่งเข้าไปหาชายคนรักของผมด้วยความเร็ว ยกมือกางแขนเตรียมจะเข้าสวมกอดคนตรงหน้าด้วยความคิดถึง
"พี่ทัช!! พี่ทัชจริงๆ ด้วย" พี่ทัชยกมือขึ้นมาสวมกอดตอบรับผมอย่างอ่อนโยนและเหมือนเดิมทุกอย่างที่ไม่แตกต่างจากครั้งที่เราสองคนต้องกอดลากันในวันนั้น
"ใช่พี่เองทอสเป็นยังไงบ้างสบายดีไหม พี่คิดถึงทอสมากนะรู้ไหม" คำพูดและน้ำเสียงของพี่ทัชยังคงเหมือนเดิมทุกอย่างทำให้ผมรู้สึกดีใจมีความสุขอดยิ้มด้วยความปลื้มปิติที่ได้พบใบหน้าคนรักของผมเสียไม่ได้
"ผมสบายดีครับ ผมยังคิดถึงพี่ทุกวันตลอดระยะเวลาหลายปีที่พี่จากผมไป ผมตั้งใจเฝ้ารอเพื่อวันหนึ่งที่พี่จะกลับมาหาผมหรือถ้าผมทนไม่ไหวผมก็จะไปหาพี่เองและอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้ผมก็กำลังจะเดินทางไปหาพี่แต่ดีแล้วครับที่พี่กลับมาหาผมเสียก่อน ผมดีใจมากเลยนะครับที่ได้เจอพี่ ดีใจที่สุด ดีใจจนลืมเหตุการณ์ร้ายๆ ที่ผมเพิ่งพบเจอไปเมื่อสักครู่ ปล่อยมันเถอะครับมันผ่านไปแล้ว ผมยังรักและคิดถึงพี่เสมอนะพี่ทัช พี่อย่าจากไปไหนอีกได้ไหม เราสองคนจะไปจากที่นี่ด้วยกันไปที่ไกลแสนไกลที่เราสองคนจะอยู่ด้วยกันไปตลอด มีกันและกันแบบนี้ไปจนกว่าความรักของเราทั้งสองจะหมดสิ้นต่อกัน นะครับพี่ทัชไปกับผมนะครับ เราจะไปอยู่ด้วยกันในสถานที่ที่มีคนเข้าใจและจะมีแค่เราตลอดไปครับ" ผมร่ายยาวถึงความต้องการให้พี่ทัชได้ฟัง
"สิ่งที่ทอสพูดมาทั้งหมดมันคงเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะพี่มีเวลามาหาทอสได้แป๊บเดียวเท่านั้น พี่ต้องไปแล้ว ถึงยังไงพี่จะกลับมาหาทอสอีกนะครับ พี่รักทอสมากนะ.. ลาก่อน!!" ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรเพื่อเหนียวรั้งพี่ทัช ชายหนุ่มคนรักของผมก็ได้จากไปกับแสงสว่างจ้าจนลับสายตา ผมทรุดตัวลงนั่งร้องไห้ฟูมฟายด้วยความเสียใจ พร่ำบ่นต่างๆ นานากับการจากไปอีกครั้งของคนรัก…
"ทอส.. ทอสครับ.. น้องทอส..." ผมสะดุ้งตื่น ค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เห็นใบหน้าของพี่แบงค์ที่กำลังเฝ้ามองผมด้วยความเป็นห่วงอยู่ตรงหน้า
"ฝันร้ายอีกแล้วใช่ไหม ไม่เป็นไรนะครับเดี๋ยวทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองนับจากนี้ ตื่นก่อนเถอะตอนนี้ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว พี่ว่าเรากลับบ้านกันก่อนดีกว่านะ" น้ำตาเจ้ากรรมมันได้ไหลรินอาบสองแก้มอีกครั้ง ก็ได้พี่ชายคนเดิมช่วยซับน้ำตานั้นด้วยความรักและความปรารถนาดี ผมพยายามควบคุมความรู้สึกภายในใจแล้วลืมเหตุการณ์ร้ายๆ ในความฝันเปลี่ยนเป็นการจดจำคำพูดทุกคำที่ผมกับพี่ทัชพูดกันในความฝันเมื่อสักครู่นี้ให้อยู่ในความทรงจำของผมแทน นำไปใช้เป็นแรงผลักดันให้ผมได้มีความหวังในการมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อที่จะได้เจอกับชายคนรักของผมอีกครั้ง พี่ทัชรอผมก่อนนะ ผมกำลังจะไปหาพี่แล้วนะครับ...
ทัช ธารากร (ปัจจุบัน)
ณ กรุงเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย วันนี้เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผมได้มีเวลาพักอยู่กับตัวเองในห้องพักส่วนตัว ผมหยิบกล่องไม้สีน้ำตาลออกมาจากลิ้นชักจากโต๊ะทำงานมุมห้องแล้วค่อยๆ บรรจงเปิดกล่องด้วยความเบามือเพื่อป้องกันไม่ให้กล่องได้รับความเสียหาย ภายในกล่องได้บรรจุแหวนทองคำขาวสลักตัวอักษรย่อตัว T&T บนแหวนวงนั้น นอกจากนี้ยังมีซองกระดาษสีขาวที่มีแผ่นกระดาษถูกพับเป็นรูปหัวใจ ผมค่อยๆ เปิดซองกระดาษสีขาวนั้นออกแล้วหยิบแผ่นกระดาษที่ถูกพับเป็นรูปหัวใจค่อยๆ แกะแผ่นกระดาษนั้นออกมาอ่าน
(ข้อความนี้เขียนโดยผม ทอส ธีรภพ ถูกเขียนขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2564 หลังจากที่ผมและพี่ทัชได้ไปร่วมเฉลิมฉลองในวันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรักของเราสองคน ปีนี้เป็นปีที่ 4 ที่ผมและพี่ทัชเราได้รู้จักกัน ที่เราสองคนได้ร่วมกันฟันฝ่าช่วงเวลาที่ดีและปัญหามาร่วมกันตลอด 4 ปีเต็ม ผมรู้สึกมีความสุขและสุขใจทุกครั้งที่ได้อยู่กับผู้ชายคนนี้ ได้เห็นรอยยิ้มของเขา ได้สัมผัสถึงไออุ่น ความปรารถนาดี ไม่มีวินาทีใดเลยที่จะทำให้ผมรู้สึกแย่ในตัวเขาหรือรู้สึกไม่ดีเลย พี่ทัชทำให้ผมรู้สึกว่าโลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นกว่าแต่ก่อนที่ไม่มีพี่เขาเข้ามาในชีวิต เพื่อเป็นการตอบแทนความรักความห่วงใย รวมถึงความผูกพันที่เราสองคนมีต่อกัน ผมขอให้สัญญาว่า 'ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดผมก็จะรักและจะมีพี่ทัช ธารากรคนเดียวไปตลอดชีวิต'
ลงชื่อทอส ธีรภพ)
(และข้อความนี้ถูกเขียนขึ้นโดยทัช ธารากร เขียนเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2564 เช่นกัน ครั้งแรกที่ผมได้พบเจอทอส ธีรภพ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีความน่ารักสดใสช่วงเวลาที่เขายิ้มมันทำให้โลกใบนี้รู้สึกสดใสขึ้นมาทันตาจนทำให้ผมต้องวิ่งชนกับเพื่อนขณะที่กำลังวิ่งออกกำลังกายในสวนสาธารณะที่เราได้พบรักกันในวันนั้นผมจำได้ว่าเป็นวาเลนไทน์พอดีแต่ผมไม่กล้าพอที่จะเข้าไปทักทายเขาเพราะเกรงว่าเขาจะไม่ได้รู้สึกและคิดเช่นเดียวกันกับผม หลังจากนั้นอีก 2 วัน ผมได้ชวนเพื่อนคนเดิมเพื่อที่จะไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะแห่งนั้นอีกครั้งเพื่อที่จะไปเจอคนของหัวใจของผมในเวลานั้น แล้วก็เหมือนสวรรค์ได้เปิดทางให้ผมได้เจอะเจอกับเขาอีกครั้ง คราวนี้ผมได้รวบรวมความกล้าที่จะเข้าไปทักทายและเริ่มความสัมพันธ์ที่ดีกับเขานับจากนั้นเป็นต้นมา มันทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตหนึ่งชีวิตของผมกลับมามีคุณค่าและมีความหมายขึ้นมาอีกครั้งเพื่อที่จะรอวันที่เราสองคนได้รักได้อยู่ร่วมกันจากที่เราสองคนได้ตั้งใจไว้ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้และอีก 4 ปีข้างหน้าหรือตลอดไป ผมจะรักและดูแลจะมีเพียงเขาคนนี้ไปตลอดชั่วชีวิตของผมเช่นกัน
ลงชื่อทัช ธารากร)
ผมนั่งอ่านข้อความจากกระดาษแผ่นนั้นด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งรัก คิดถึง ห่วงหาอาทรและเป็นห่วงบุคคลที่อยู่ในข้อความข้างต้นก่อนที่ผมจะค่อยๆ หันหน้าไปมองรูปคู่ของเราสองคนที่ถูกวางอยู่ตรงมุมโต๊ะทำงานด้วยสายตาวิงวอนปนความคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก ส่งผลให้ผมไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์ที่ค่อนข้างอ่อนไหวที่เกิดขึ้นภายในใจผมได้ น้ำตาของผมจึงไหลรินอาบแก้มอย่างช้าๆ ก่อนที่ผมจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาอย่างรวกๆ แล้วต้องรีบหันไปมองอะไรบางอย่างที่กำลังปลิวร่วงหล่นจากโต๊ะทำงานสู่พื้นห้อง ผมรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปยังอะไรบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับภาพโปสเตอร์ที่คว่ำหน้าอยู่กับพื้น ผมบรรจงหยิบภาพนั้นขึ้นมา ก็รู้สึกตกใจมากเพราะนั่นคือรูปภาพของคนที่ผมรัก..
"ทอส!" ผมอุทานเรียกชื่อเขาเบาๆ ด้วยความตกใจปนความแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เท่าที่ผมจำได้รูปของเขามันถูกเก็บอยู่ในลิ้นชักด้านบนประจำ ทุกครั้งหลังจากที่ผมกลับมาจากที่ทำงานจะหยิบรูปใบนี้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วผมมักจะเก็บใส่ลิ้นชักตรงนี้อยู่ตลอดแต่วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นถึงได้ตกลงไปบนพื้นแบบนั้น ผมได้ทบทวนการกระทำของตัวเอง มันไม่มีปัจจัยใดเลยที่รูปของเขาจะถูกวางบนโต๊ะทำงานแล้วปลิวร่วงลงสู่พื้นหรือว่ามันเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่างกันแน่ ยิ่งผมคิดยิ่งทำให้ผมไม่สบายใจและรู้สึกกระวนกระวาย แล้วจะมีหนทางใดบ้างที่ผมจะสามารถติดต่อคนรักของผมได้ มันไม่มีเลยสักวิธีที่เราสองคนจะติดต่อกันได้ หลังจากที่ผมได้จากเขามาจวบจนทุกวันนี้ ตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง เขาจะมาหาผมตามที่เขาเคยบอกไว้หรือเปล่าเพราะการใช้ชีวิตที่นี่ของผมแทบจะไม่ได้พบปะผู้คนหรือใครเลยนอกจากเพื่อนร่วมงานในบริษัทเท่านั้น ผมยังคงเฝ้ารอทุกวันว่าสักวันผมจะต้องกลับไปหาเขาและเราสองคนจะอยู่ด้วยกันตามคำมั่นสัญญาที่ให้แก่กันไว้ให้ได้
ทอส ธีรภพ
ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
ผมรู้สึกดีใจมากที่วันนี้ผมกำลังจะเดินทางไปหาพี่ทัช ผู้ชายคนที่ผมรัก คนที่ผมเฝ้ารอมาเป็นระยะเวลาหลายปี สำหรับการเดินทางครั้งนี้ผมก็มีพี่ชายสุดที่รักของผมอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้พาไป เราสองคนรู้สึกตื่นเต้นกับประเทศใหม่ที่เพิ่งเดินทางไป ผู้คนใหม่ๆ ในสถานที่แปลกตายิ่งผมได้คิด ผมก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ จนความรู้สึกตอนนี้อยากให้ถึงประเทศออสเตรเลียเร็วๆ เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ได้ขึ้นชื่อไฟลท์ที่เราสองคนต้องเดินทางบนจอแอลซีดีขนาดใหญ่และนั่นก็คงเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กันจนต้องจับมือพี่แบงค์ไว้อยู่ตลอดเวลา ขณะที่เราสองคนกำลังเดินไปยังเส้นทางผู้โดยสารขาเข้าและไปประจำที่นั่งบนเครื่องบินโดยมีพี่แบงค์คอยพูดปลอบใจเพื่อให้กำลังใจผมตลอดว่าการเดินทางในครั้งนี้ ยังไงผมก็ต้องได้เจอกับพี่ทัชอย่างแน่นอน ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นด้วยความดีใจจนผมเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้..