ซูเยว่มองอีกฝ่ายที่ดูจะกล้ำกลืนฝืนทนกับการคำนับตนเสียเหลือเกิน ยิ้มบางๆ ผุดขึ้นก่อนจะเดินเลี่ยงไปอีกทาง เพื่อจะได้มิต้องทนเห็นชายหญิงคู่นี้พลอดรักกันอีก ใช่ว่านางจะรู้สึกแย่หรือเสียใจ มันก็แค่เอือมระอากับการกระทำของทั้งคู่เท่านั้น ซึ่งดูแล้วคงจะไม่รู้สึกผิดต่อผู้ใดทั้งสิ้น
“เห้อ! นี่เหรอนางเอกในนิยาย เอ๊ะ! หรือว่าจะเป็นแค่ตัวหลอก ไม่หรอกมั้งบทนำก็เป็นคนนี้ไม่ใช่เหรอ หรือเพราะเราทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แต่มันก็ไม่น่าจะใช่นี่ ในเมื่อเราไม่มีตัวตนในนิยายอยู่แล้ว”
เสียงบ่นพึมพำดังขึ้นเมื่ออยู่ลำพัง เพราะซีซีกำลังคิดหาเหตุผลที่จะเอามาปะติดปะต่อกัน เพื่อที่จะอยู่อย่างสงบสุขที่สุดในโลกที่เธอหลุดเข้ามา
“สงสัยต้องอยู่เงียบๆ รอเวลาหย่าเท่านั้น” เธอเอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะยกชาขึ้นจิบ มินานนางกำนัลทั้งสองก็เดินเข้ามาหา หลังจากออกไปทำธุระให้
“พระชายาเพคะ มีคนจากแคว้นหนานเดินทางมาตามคำสั่งของรัชทายาทเพคะ” เสี่ยวชิงเอ่ยรายงานทันที
“เอ๋! ใครกันหรือ?” ซูเยว่เอ่ยถามเพราะมิคิดว่าจะมีใครที่ต้องการพบตน เพราะมันไม่น่าจะอยู่ในเรื่องราวของนิยาย นางควรจะใช้ชีวิตเงียบๆ หรือไม่ก็น่าจะตายไปตั้งแต่ตอนตกน้ำมิใช่หรือ แต่ทำไมถึงมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ
“องครักษ์จินหยางเพคะ” หลินหยาเอ่ยบอก ทำเอาคิ้วเรียวถึงกับผูกกันเป็นปมในทันที เพราะคนชื่อนี้ไม่ได้อยู่ในเรื่องราวด้วยเลย ความสับสนมึนงงเริ่มก่อตัวขึ้น
“แล้วเขามีเรื่องใดถึงได้มาที่นี่”
“รัชทายาทส่งมาให้ดูแลพระองค์เพคะ”
“งั้นหรือ เช่นนั้นก็ให้เข้ามาเถอะ” ซูเยว่เอ่ยอนุญาต เพราะยามนี้นางนั่งอยู่ที่สวนทางด้านหลังเรือนพัก
และมันอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ของสามี ยามนี้เขาคงยุ่งวุ่นวายกับสตรีนามว่ามินจูเช่นเคย ร่างสูงของบุรุษหนุ่มรูปงามพร้อมกับกระบี่ในมือเดินตรงเข้ามา และผู้ติดตามอีกสองคนที่ดูรูปงามมิต่างกันนัก แต่คนเดินนำดูมีใบหน้ากว่าจนซีซีซึ่งอยู่ในร่างนี้ อดไม่ได้ที่จะชมเขาในใจ
“โอ๊ย! ผู้ชายในนิยายทำไมถึงหล่อได้ขนาดนี้นะ ฉันล่ะอยากจะเปิดฮาเร็มให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย” เธอนึกในใจยังไม่พอ ยังเผลอหลุดขำออกมาอีก ทำเอาทุกคนที่อยู่รอบตัวถึงกับสงสัยในท่าทางนี้มิได้
“มีสิ่งใดประหลาดหรือพะย่ะค่ะ” จินหยางเอ่ยถามทันที เพราะเกรงว่าตนจะทำอะไรที่มิถูกใจหรือตลกจนองค์หญิงเก็บอาการมิอยู่เช่นนี้ ซูเยว่ยิ้มแห้งใส่เมื่อเห็นท่าทางองครักษ์คนใหม่ของตน
“เปล่าๆ ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่นึกถึงเรื่องตลกเท่านั้น อย่าใส่ใจเลยนะ หากเจ้าอยู่ที่นี่ก็จะชินไปเอง”
เสียงใสเอ่ยบอกก่อนจะหัวเราะร่วนออกมา จนผู้มาใหม่ถึงกับยิ้มตามด้วยความเอ็นดูทันที ก่อนนี้ได้ยินจากเสี่ยวชิงในรายงานว่าองค์หญิงทรงเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนมาก มิคิดว่าจะทรงมีความสดใสและน่ารักมากขึ้นถึงเพียงนี้ ไยอ๋องแคว้นนี้ถึงมองมิเห็น แต่กลับไปสนใจสตรีผู้นั้นได้
“พวกเจ้าเป็นใครกัน ไยถึงเข้ามาอยู่ในจวนข้า” เสียงกดต่ำดังขึ้นก่อนที่ร่างสูงของบุรุษหนุ่มผู้สง่างามจะเดินเข้ามานั่งข้างชายาของตน ทั้งที่ปกติเขามิทำเรื่องเช่นนี้ และมิเคยอยู่ใกล้คนตัวเล็กที่เขารังเกียจ
“ถวายพระพรพะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมจินหยางเป็นองครักษ์ที่ได้รับคำสั่งมาจากรัชทายาทซูหลิน ให้มาอารักขาพระชายามิให้เกิดเหตุคนลอบทำร้ายอีกพะย่ะค่ะ”
“เจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าเช่นไร ที่นี่เป็นจวนอ๋องจะมีผู้ใดกล้าทำร้ายพระชายากัน เอ่ยเช่นนี้เจ้ากำลังกล่าวหาคนจวนอ๋องใช่หรือไม่” ลี่หยางตำหนิทันที
“หึ! การที่เรามิได้อยู่ที่นี่ก็ใช่ว่าจะมิรู้ถึงความเป็นไปของพระชายาอย่างที่เจ้าคิด พระองค์อยู่อย่างโดดเดี่ยวไร้ซึ่งความเมตตาจากพระสวามี บ้างก็ถูกสั่งขัง บ้างก็ถูกผลักตกน้ำจนเกือบเอาชีวิตมิรอด เช่นนี้แล้วยังมิควรที่จะมีองครักษ์คุ้มครองอีกหรือ”
“อะไรนะ! เจ้าว่าใครถูกผลักตกน้ำ” หรานจวิ้นเอ่ยขึ้นเสียงดัง เพราะเขาเข้าใจมาตลอดว่าซูเยว่พลัดตกลงไปเอง แต่มันก็จริงที่เขาคิดจะปล่อยให้นางตายในยามนั้น
“หึ!อย่าทำราวกับว่าพระองค์มิรู้เรื่องสิเพคะ เพราะการกระทำมันมิใช่เลยสักนิด อย่างไรเสียก็อดทนรอมินานหรอกเพคะ หม่อมฉันจะเขียนจดหมายหย่าให้เอง”
เสียงเย็นยะเยือกดังขึ้นทำเอาหรานจวิ้นถึงกับหน้าชา เขามิเคยต้องรู้สึกใจหายเพียงนี้มาก่อนเลยสักครา คำตัดพ้อที่คนตัวเล็กเอ่ยนั้นเป็นจริงทุกอย่าง มันคือสิ่งที่เขาต้องการเป็นที่สุด แต่ยามนี้กลับมิดีใจเลยสักนิด เอ่ยจบเพียงเท่านั้นร่างเล็กของซูเยว่ก็เดินนำคนของตนกลับไปที่เรือนพัก ซึ่งหรานจวิ้นมิได้เอ่ยทักท้วงสิ่งใดอีกจนคนสนิทอดที่จะเอ่ยถามมิได้
“ท่านอ๋องจะยอมให้คนนอกอยู่ที่นี่จริงหรือพะย่ะค่ะ”
“มีคนคิดจะฆ่านางทั้งที่อยู่ในจวนข้า แต่ข้ากลับมิเคยรู้เรื่องอันใดเลย หึ! ใครกันที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้”
หรานจวิ้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงมิพอใจเป็นอย่างมาก แม้เขาจะอยากให้ซูเยว่ตายไปเพื่อจะได้รับมินจูเข้ามาโดยง่ายก็เถอะ แต่ก็มิเคยคิดจะลงมือกับนางเลยสักครั้ง ยิ่งมาตอนนี้ด้วยแล้วเพียงแค่เห็นสายตาตำหนิที่นางมองราวกับว่าเขาเป็นคนผลักเสียเอง มันทำให้ใจแกร่งวูบไหวอย่างบอกมิถูก
“ก็ดีมิใช่หรือพะย่ะค่ะ มีคนลงมือแทน อย่างน้อยพระองค์ก็ยังสามารถปฎิเสธได้เต็มปากว่ามิรู้เรื่อง”
ไห่เฉิงชี้แนะผู้เป็นนาย แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาคมดุที่จ้องมองราวกับเขาทำผิดหนักหนา
“กระหม่อมเอ่ยสิ่งใดผิดหรือพะย่ะค่ะ”
“อย่าได้เอ่ยเรื่องที่นางตายแล้วข้าจะยินดีอีก ไปสืบมาให้รู้แน่ว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้”
“หมายถึง คนที่จะสังหารพระชายาหรือพะย่ะค่ะ” ไห่เฉิงยังคงเอ่ยถามเพื่อให้แน่ใจ แต่พอเห็นผู้เป็นนายถอนหายใจก็รีบรับคำแล้วเดินออกจากสวนทันที
“ท่านอ๋องจะทำเช่นไรต่อไปพะย่ะค่ะ” ลี่หยางเอ่ยถามเมื่อดูจากสีหน้าผู้เป็นนายดูกังวลเหลือเกิน
“นางคิดว่าข้าคือผู้ที่อยากจะฆ่านางเป็นแน่” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นเบาๆ มันติดความกังวลจนลี่หยางสังเกตเห็นได้ชัดเจน เพราะผู้เป็นนายมิเคยซึมเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่ได้ยินคำของพระชายาเอ่ยก่อนจะเดินจากไป
“ท่านอ๋องจะใส่ใจไปไย พระชายาคิดเช่นไรก็มิมีผลนี่พะย่ะค่ะ ในเมื่อพระองค์มิมีใจต่อนางอยู่แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องหย่าร้างกันไปมิใช่หรือพะย่ะค่ะ”
ลี่หยางเอ่ยย้ำเตือนความคิดผู้เป็นนายที่ผ่านมา ทำเอาหรานจวิ้นถึงกับนิ่งไปเมื่อนึกถึงการกระทำของตน โดยเฉพาะการสั่งขังคนตัวเล็กที่เขามักจะทำเสมอแค่เพียงเห็นหน้านาง แม้จะมิเคยเอ่ยสิ่งใดกับเขาเลย แต่พอเห็นทีไรก็อยากให้ใบหน้านี้ออกไปให้พ้น
ซึ่งช่วงนั้นอีกฝ่ายก็พึ่งจะมาอยู่ที่นี่ด้วยซ้ำ หากมิมีราชโองการให้อภิเษก เขาคงครองรักกับมินจูไปแล้ว นั่นคือสิ่งที่ทำให้หรานจวิ้นเกลียดซูเยว่ตั้งแต่แรกเห็น แต่ทุกอย่างมันก็ไม่น่าจะเป็นอุปสรรคเพราะนางเชื่อฟังและมิปริปากใดๆ เลยแม้แต่น้อย
จนกระทั่งสกุลฟานของแม่ทัพหนุ่มกำหนดวันสู่ขอมินจูไปเป็นสะใภ้เมื่อสามเดือนก่อน มันทำให้เขาเริ่มคิดแผนกำจัดฟานจงซีอยู่เรื่อยๆ และตัวมินจูเองก็ตีตัวออกห่างจากแม่ทัพตั้งแต่นั้น นางจึงไปมาหาสู่ที่จวนนี้โดยเข้าหาทางซูเยว่ จนพระชายาตนไว้ใจและเสนอให้พักที่นี่ในบางครา
นั่นจึงเป็นโอกาสให้เขาลักลอบได้เสียกันโดยที่ซูเยว่มิเคยสงสัย พอนึกถึงตรงนี้หรานจวิ้นก็นึกละอายใจขึ้นมาเสียดื้อๆ ทั้งที่ทุกอย่างเขาตั้งใจทำและอยากให้มันเป็นแบบนี้แท้ๆ ร่างสูงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปยังเรือนพักของตน ซึ่งมันต้องผ่านห้องนอนของคนตัวเล็ก เขาอดมิได้ที่จะมองเข้าไป แต่มันก็ถูกปิดลงในทันทีเมื่อจินหยางเห็นเข้า
“หึ! คิดหรือว่าท่านอ๋องข้าจะอยากมองเข้าไป เชอะ!” ลี่หยางเอ่ยขึ้นทำเอาหรานจวิ้นถึงกับส่ายหัว ที่คนสนิทพยายามที่จะรู้ใจเขาเหลือเกิน ซึ่งยามนี้มันมิได้เป็นอย่างที่คิดกันเลยสักนิด เพราะทุกช่วงเวลาอ๋องหนุ่มมักจะหันไปที่เรือนนี้อยู่เสมอ
“ไยใจข้าถึงได้ว้าวุ่นเช่นนี้นะ” หรานจวิ้นเอ่ยกับตนเองบนเตียงกว้าง ซึ่งยามนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว แต่เขายังมิสามารถหลับตาลงได้เลย ในใจยังคงคิดเรื่องคนที่คิดจะเอาชีวิตสตรีตัวน้อยที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาเขา
แต่คิดเท่าใดก็หาเหตุผลนั้นมิได้ หากย้อนกลับไปก็มีแค่เขาเท่านั้นที่อยากให้นางสิ้นใจมิใช่หรือ จะมีผู้ใดต้องการให้นางจากไปเท่าเขาอีก นั่นคือสิ่งที่หรานจวิ้นกำลังตรึกตรอง ทำให้นัยน์ตาอ๋องร้ายหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ใช่ว่าเขาจะสำนึกในสิ่งที่ทำก่อนนี้ แม้จะเกิดความระอายขึ้นมาบ้างก็เถอะ เมื่อคิดสิ่งใดมิออกเปลือกตาหนาก็ปิดลง เพราะมันดึกมากจนเลยเวลาแล้ว
สายของวันบรรยากาศยามนี้อบอุ่นดียิ่งนัก เพราะเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนฤดูกาลอีกครั้งแล้ว อีกมินานความหนาวเหน็บก็จะจางหายไป แปลเปลี่ยนเป็นความร้อนเข้ามาแทน การแต่งกายที่เคยรัดกุมเพิ่มความอบอุ่นก็จะเบาบาง
ณ จวนอ๋องไป่จวิน ยามนี้เขากำลังวางแผนกับคนสนิทและขุนนางบางคนที่เขาร่วม เพื่อชิงอำนาจในราชสำนักซึ่งมีอยู่ครึ่งหนึ่งของอ๋องผู้น้อง เรื่องราวเหล่านี้มีมาเนิ่นนานจนคนวงในต่างก็รู้ดีแม้แต่ฮ่องเต้
แต่เขาก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้น เพราะอย่างน้อยก็มิต้องกำจัดทั้งคู่เอง รอเวลาเพียงแค่ว่าฝ่ายใดมีกำลังมากกว่าก็จะกำจัดเมื่อนั้น ยามนี้ทั้งคู่ยังมีประโยชน์จึงมิคิดจะทำอันใด เขาเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น
ราชวงศ์นี้มิได้รักใคร่กันอย่างที่เห็น ต่อหน้าก็เพียงแต่ชื่นชมยินดี แต่ลับหลังมักจะส่งมือสังหารลอบฆ่ากันอยู่เนืองๆ จนบางคราคนรอบข้างของแต่ละฝ่ายถูกจัดการไปเรื่อยๆ เช่นสนมของไป่จวินที่เขาโปรดปราน ก็ถูกสังหารตายในขณะที่ตั้งครรภ์
“ท่านอ๋องได้ยินว่าวันนี้พระชายาของอ๋องหรานจวิ้นจะเสด็จออกนอกวัง จะให้เราจัดการเลยหรือไม่พะย่ะค่ะ”
“หึ! นับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่อนุชาข้ามิมีใจต่อนางนี่สิ สังหารไปก็ดูจะเปล่าประโยชน์ แต่ถ้าทำเพื่อระบายความแค้น ข้าก็ยินดีที่จะทำแม้นางจะมิเกี่ยว”