เรือนของนางเป็นเรือนสี่ประสานที่แยกจากเรือนหลัก โดยเยว่เลี่ยงจะอยู่ที่เรือนหลังกลางที่มีห้องห้าห้อง เจียอีอยู่ทางทิศตะวันตกของเรือนมีห้องสามห้อง ลู่เสียนอยู่ทิศตะวันออกมีห้องสามห้องเช่นเดียวกับเจียอี
สามคนแม่ลูกมองหน้ากัน เพราะไม่เคยอาศัยอยู่ในเรือนหลังใหญ่ถึงเพียงนี้ แล้วอีกอย่างทั้งสามยังมีเรือนเป็นของตนเองอีกด้วย ยังดีที่แม่นมจินจัดเตรียมบ่าวมาคอยดูแลพวกเขาด้วย ภายในเรือนจึงดูไม่เงียบเหงาเกินไป ส่วนแม่นมจินนางพักอยู่กับเยว่เลี่ยงด้วยเลย
แม่นมจินส่งสาวใช้มาให้เจียอีสี่คน เคยรับใช้ข้างกายนางเป็นสาวใช้ส่วนตัวสองคน อีกสองคนจัดการดูแลเรื่องต่างๆภายในเรือน ของลู่เสียนก็เช่นเดียวกัน
"คุณหนูตั้งชื่อให้บ่าวใหม่ด้วยเจ้าค่ะ" เมื่อเปลี่ยนนายพวกนางก็ต้องถูกตั้งชื่อเสียใหม่ เจียอีเกาแก้มอย่างทำตัวไม่ถูก เพราะนางเพิ่งมาอยู่ที่ภพนี้เพียงไม่กี่วัน แล้วยังถูกเปลี่ยนฐานะจากยากจนเป็นคุณหนูในพริบตา
"เจ้าชื่อเหมยกุ้ย ฝูหลง เหลียนฮวา โมลี่" เจียอีตั้งชื่อพวกนางตามชื่อของดอกไม้ เพื่อให้เรียกง่าย
โดยคนที่อยู่ข้างกายของนางคือ เหมยกุ้ยและฝูหลง เมื่อแบ่งหน้าที่ให้ทั้งสี่คนแล้วนางก็ให้ทั้งหมดแยกย้ายไป ปกติเรื่องอาบน้ำจะเป็นเหมยกุ้ยและฝูหลงเป็นคนจัดการ แต่เจียอีที่ยังไม่ชินจึงให้พวกนางเตรียมเสื้อผ้าของใช้ให้เท่านั้น
ของลู่เสียนก็เช่นเดียวกัน มีบ่าวติดตามสองคนและคนดูแลภายในเรือนสองคน ตอนที่ทานมื้อเย็นด้วยกันกับหมอจินก็สอบถามหลานทั้งคู่ขึ้น
"เสียนเออร์เจ้าอยากเข้าเรียนที่สำนักศึกษาหรือไม่" เพราะเขาไม่รู้ว่าหลานชายได้ร่ำเรียนมามากน้อยเพียงใด หากยังไม่เคยร่ำเรียนเขาจะแจ้งอาจารย์มาสอนที่จวนเสียก่อน
"ท่านตาข้าร่ำเรียนกับมารดามาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ" ลู่เสียนที่อยากเข้าสำนักศึกษาแต่ก็กลัวว่าจะเรียนไม่ทันคนอื่นจนเป็นที่ขบขันจึงเอ่ยตามความจริง เพราะมารดาเจ็บป่วยบ่อยครั้งจึงไม่อาจสอนเขาได้อย่างเต็มที่
"เช่นนั้นตาจะหาอาจารย์มาสอนเจ้าเสียก่อน" นับว่าเรื่องของลู่เสียนก็จบไป
"อีเออร์ เจ้าอยากทำอันใดหรือไม่ ตาคิดว่าจะจ้างอาจารย์มาสอนศาสตร์ทั้งสี่กับเจ้า" (วาดภาพ เล่นหมาก เขียนอักษร ดนตรี)
เจียอีกลืนน้ำลายลงคอ นางเหนื่อยเรื่องเรียนจากภพก่อนมาแล้ว ยังจะต้องมาเรียนในภพนี้อีกหรือ เรื่องอื่นนางยังพอถูไถไปได้ แต่เรื่องเขียนอักษรโบราณนางคงต้องเรียน
"แล้วแต่ท่านตาเห็นสมควรเจ้าค่ะ" หมอจินหัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นหลานทั้งคู่เป็นเด็กดีฟังตน
"เลี่ยงเออร์อีกไม่นานเจ้าก็จะกลับมาจำเรื่องหนเก่าได้แล้ว เมื่อนั้นหากเจ้าอยากทำสิ่งใดพ่อล้วนแล้วแต่ตามใจเจ้า" เยว่เลี่ยงที่เริ่มจะจดจำบางเรื่องได้ก็กล่าวขอบคุณบิดา
"ท่านพ่อ ข้าอยากติดต่ออากุ้ยเจ้าค่ะ ตั้งแต่ที่สามีข้าไปออกรบ ข้ายังไม่เคยได้รับข่าวของเขาเลยเจ้าค่ะ" นางบอกกล่าวบิดาด้วยความกังวลใจ
"ได้ พ่อจะหาทางจัดการให้" หมอจินเดินเข้าไปในห้องหนังสือแล้วเขียนจดหมายส่งไปยังชายแดนติดต่อสหายของตนที่เป็นหมออยู่ในค่ายเพื่อให้สืบข่าวเรื่องบุตรเขยของตน
หลังจากนั้นหมอจินก็ให้พ่อบ้านของตนนำจดหมายไปส่งจุดรับส่งของไปยังชายแดน
ทางชายแดนหลันหวงกุ้ยที่ถูกเกณฑ์มาเป็นทหารครั้งนี้ เขาห่วงลูกกับเมียที่อยู่ทางบ้านมากนัก เพราะมีเขาอยู่ด้วยนางกับลูกยังโดนรังแกไม่เว้นวันตอนนี้ไม่มีตนอยู่นางคงมีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่าเดิม
ตัวเขาเป็นเพียงทหารชั้นผู้น้อยจะส่งจดหมายกลับบ้านในแต่ละครั้งก็แสนลำบาก แม้แต่เงินที่จะใช้ในการส่งจดหมายก็ไม่มีอย่าถามถึงกระดาษที่มีเพียงทหารตำแหน่งใหญ่โตเท่านั้นถึงจะได้ใช้ ไม่รู้ว่าตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาเงินเดือนของตนที่ถูกส่งกลับบ้านจะถึงมือของเยว่เลี่ยงและลูกหรือไม่
อากาศที่หนาวเย็นจนเสียดกระดูกเสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ไม่ช่วยให้ความอบอุ่น ยามเข้าเวรตรวจค่ายก็แสนจะทรมานหากตนไม่นึกถึงภรรยาที่รักที่อยู่ทางบ้านคงได้ยอมตายอยู่ทางเหนือเพื่อหนีความทรมานแล้ว
"หลันกุ้ยหวง หน่อยนี้มีหรือไม่" ช่วงพักทานอาหารมีเสียงตะโกนเรียกชื่อของเขาขึ้น
"ข้าน้อยขอรับ" หลันหวงกุ้ยวิ่งกระหืดกระหอบไปตามเสียงที่เรียกตน
เขาถูมือ เช็ดกับเสื้อผ้าจนแน่ใจว่าสะอาดแล้วก็เอื้อมมือไปรับจดหมายที่ส่งมาให้ตน
"ของข้าน้อยหรือขอรับ" เขามาอยู่ที่ชายแดนหลายเดือนแล้ว ข่าวทางบ้านก็ไม่เคยได้รู้
หลันหวงกุ้ยมือสั่นจนหวาดกลัวจดหมายในมือจะเป็นข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี เพราะการส่งจดหมายต้องเสียเงินจำนวนไม่น้อยเลยหากภรรยาหรือบิดามารดาของตนจะส่งข่าวมา ย่อมต้องเป็นเรื่องสำคัญ
"แล้วไปพบหมอฟางที่กระโจมรักษาด้วย" เมื่อส่งข่าวเสร็จนายทหารก็กลับไปที่หน่วยของตน
หลันหวงกุ้ยตัดสินใจเก็บจดหมายของตนไว้ในอดเสื้อก่อนค่อยอ่านในภายหลัง แล้วรีบไปพบหมอฟางตามคำบอกเสียก่อน
"มาแล้วหรือ เจ้าคือหลันหวงกุ้ยใช่หรือไม่" หมอฟางเป็นหัวหน้าหมอที่ได้รับคำสั่งให้ออกมาดูแลทหารในค่าย
"คารวะท่านหมอฟางขอรับ ข้าน้อยหลันหวงกุ้ยขอรับ"
"อืม เป็นเช่นใดบ้าง เจ้าอยู่ที่หน่วยใด"
"ข้าน้อยสบายดีขอรับ ไม่เจ็บป่วยที่ใด ข้าน้อยอยู่หน่วยลาดตระเวนทิศตะวันตกขอรับ" หมอฟางพยักหน้ารับ
"เจ้าอ่านจดหมายแล้วหรือยัง"
"เอ่ออ ข้าน้อยพอได้ร่ำเรียนมาบ้างขอรับ" ก่อนหน้านี้แม้ภรรยาจะสูญเสียความทรงจำ แต่นางอ่านออกเขียนได้จึงได้สอนเขาคัดอักษรพร้อมบุตรชาย แต่เขาไม่กล้าจะพูดว่าตนอ่านและเขียนได้ดี
"เช่นนั้นก็อ่านจดหมายเสีย ข้าจะได้พูดคุยกับเจ้าได้สะดวกขึ้น" เขาผ่ายมือให้หลันหวงกุ้ยนั่งลง