ร่วมโต๊ะอาหาร

1234 Words
ซุนเหยานางช่วยประคองหลีซื่อไปที่ห้องโถง เพื่อรับอาหารมื้อเย็น ทั้งยังบอกให้คนไปตามซูเซวียนกับหงอี้มารับอาหารด้วยกันอีกด้วย “เจ้าจะให้บ่าวไปตามนางมาด้วยเรื่องอันใด” “ท่านแม่ หงอี้ นางอาจจะไม่รู้ถึงการมีอยู่ของข้าก็ได้เจ้าค่ะ ไม่เช่นนั้นจะไม่เท่ากับว่านางน่าสงสารหรือเจ้าคะ อีกอย่างข้าไม่อยากให้ผู้ใดว่าข้าใจแคบ แม้แต่ข้าวก็ยังไม่ให้นางกินด้วย” “เหอะ ผู้ใดจะกล้าว่าเจ้า” หลีซื่อเอ่ยถามอย่างไม่สบอารมณ์ สาวใช้เมื่อเห็นว่าหลีซื่อไม่ได้ห้ามเรื่องให้ไปตามซูเซวียน นางจึงรีบเดินออกไปตามทันที หงอี้ เมื่อไม่มีผู้ใดติดตามมาด้วยแล้ว นางก็เริ่มต่อว่าซูเซวียนที่ทำให้นางต้องมาพบเจอเรื่องเช่นนี้ “ท่านแม่ทัพ ท่านกำลังทำให้ข้าเป็นนางมารต่อหน้ามารดากับฮูหยินของท่าน” “ข้าไม่คิดว่าท่านแม่จะพูดยากถึงเพียงนี้” ซูเซวียนคิดว่า เพียงแค่เขาเดินทางกลับมาเมืองหลวงเพื่อจัดการเรื่องหย่า ก็คงเป็นตามที่มารดาพูดไว้ หากเขากลับมาเมื่อใดก็หย่าได้ทันที เจ้าทนอีกเพียงหนึ่งเดือน เมื่อกลับชายแดน ข้าจะให้เจ้าหยุดฝึกสามเดือนดีหรือไม่” “ท่านพูดแล้วนะเจ้าค่ะ” ทั้งคู่กำลังนั่งพูดคุยอยู่ภายในเรือนท้ายจวนก็มีสาวใช้เข้ามาขอพบ “คุณชายเจ้าคะ ฮูหยินน้อยให้มาตามท่านกับแม่นางฟู่ไปรับมื้อเย็นร่วมกันเจ้าค่ะ” “อืม ประเดี๋ยวข้ารีบไป” สาวใช้เดินออกไปอย่างรู้งาน “นางเป็นสตรีที่ดียิ่งนัก ไม่น่ามาแต่งกับท่านจริงๆ” หงอี้พยักหน้า ชื่นชมซุนเหยา “หึ แต่งกับข้าแล้วเป็นเช่นใด” ซูเซวียนถลึงตามองหงอี้อย่างไม่พอใจ “มีอย่างที่ไหน เข้าหอก็ไม่เข้า ทั้งยังทิ้งหนังสือหย่าไว้ให้นางตั้งแต่วันแรกที่นางแต่งเข้ามา วาจาที่ท่านพูดกับนางแต่ละคำ เป็นข้า ข้าก็หย่า” หงอี้ส่ายหัวอย่างไม่เข้าใจ นางเดินออกจากเรือนเพื่อไปที่เรือนหลัก เพราะนางหิวมากแล้วในตอนนี้ ซูเซวียนเดินตามหงอี้ไปอย่างไม่สบอารมณ์ เขาได้แต่คิดว่ามีคำพูดไหนของตนที่ไม่น่าฟังบ้าง หากทุกคนได้รู้ความคิดของเขา คงได้แต่บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ทุกประโยคที่ท่านพูด ไม่มีดีสักประโยค ทั้งคู่มาถึงหน้าห้องโถง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะของหลีซื่อที่อยู่ด้านใน ซูเซวียนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่ง ที่เห็นว่ามารดาของตนคลายโทสะลงได้แล้ว หลีซื่อหยุดหัวเราะลง นางกลับมามีสีหน้าที่เรียบเฉย เมื่อบุตรชายพาหงอี้เข้ามาด้านในห้องโถง ซุนเหยานางหันไปมองทั้งคู่ที่เดินเข้ามาด้วยกัน ก็พยักหน้าอย่างชื่นชมช่างเหมาะสมกันเสียจริง “ตั้งโต๊ะเถิด” ซุนเหยาเอ่ยแจ้งสาวใช้ เมื่อเห็นว่าหลีซื่อนางเบือนหน้าหนีไม่ยอมพูดสั่งเสียที เมื่ออาหารขึ้นตั้งเรียบร้อย หลีซื่อก็ขยับตะเกียบทันที ซุนเหยานางก็ตักพระกระโดดกำแพงให้อย่างเอาใจ ซูเซวียนคิดว่านางจะตักส่งให้เขาด้วย แต่เมื่อจะยื่นมือไปรับ ซุนเหยานางกลับวางลงที่หน้าของตนเองเสียอย่างนั้น แม่นมที่เลี้ยงดูซูเซวียนมาก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่พอใจ จึงได้เดินเข้าไปตักอาหารให้เขาอย่างรู้ใจ “เจ้าลองกินดู” ซูเซวียนคีบอาหารวางลงในชามของหงอี้ เขาเหลือบตาไปมองซุนเหยา เพื่อดูว่านางจะมีท่าทีหึงหวงเขาหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่านางไม่สนใจแม้แต่น้อย ใบหน้าของซูเซวียนก็ดำคล้ำขึ้น หงอี้นางอยากจะตำหนิเขานัก ที่หาเรื่องให้นางโดนมารดาของเขาต่อว่าอีกแล้ว แต่เมื่ออาหารเข้าปาก ดวงตาของนางก็เปล่งประกายทันที “อร่อย” นางเผลอพูดออกมาเสียงดัง เช่นตอนที่อยู่ในค่ายทหาร ซูเซวียนหันไปถลึงตามองหงอี้อย่างไม่สบอารมณ์ หลีซื่อก็จ้องมองนางอย่างตกใจ ซุนเหยาตะเกียบในมือของนางชะงักไปครู่แต่ก็กลับมาเป็นเช่นเดิมอย่างรวดเร็ว “หากอร่อยก็กินให้มากเสียน้อย” นางยิ้มน้อยๆ ให้หงอี้ หงอี้ที่เห็นเช่นนั้นก็ยิ้มจนตาหยี ในตอนนี้นางลืมไปเลยว่าต้องรักษาท่วงท่าเพื่อเป็นสาวงามอยู่ ความเร็วที่ติดเป็นนิสัยยามกินในค่ายทหารถูกนำมาใช้ “อะแฮ่ม” ซูเซวียนต้องกระแอม เพื่อเรียกสติของหงอี้ “ขออภัยเจ้าค่ะ อาหารในจวนตระกูลซูอร่อยยิ่งนัก” ใบหน้าของหงอี้แดงเรื่อขึ้น “กินเถิด ในครัวยังมีอีกมาก” เมื่อซุนเหยานางพูดเช่นนี้ แม่นม และสาวใช้คนอื่นกับมีใบหน้าที่ไม่น่าดูนัด เพราะส่วนที่แยกไว้เป็นของพวกบ่าวในจวน หากยกเข้ามาให้หงอี้ก็เท่ากับว่าพวกนางจะไม่ได้กินอาหารที่ซุนเหยาสั่งมาจากเหม่ยสือ หงอี้ไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของผู้อื่น ในเมื่อฮูหยินของจวนเอ่ยอนุญาตเช่นนี้ นางจึงได้กินอย่างไม่เกร็งใจ มีเพียงซูเซวียนเท่านั้นที่อยากจะลากคอหงอี้นางไปด้านนอกแล้วทุบตีเสียยกหนึ่ง แต่จะว่านางก็ไม่ได้ เพราะอาหารของตระกูลซูที่ขึ้นโต๊ะในยามนี้นับว่าเลิศรสมากจริงๆ ยิ่งมาเทียบกับอาหารในค่ายที่ซูเซวียนและหงอี้กินเป็นประจำ จะมีผู้ใดนึกอยากอาหารในค่ายอีกเล่า เมื่อมีโอกาสจึงได้กินอย่างเต็มที่ จนลืมรักษามารยาทไปเลย ซุนเหยานางจึงให้สาวใช้ไปยกอาหารเข้ามาเพิ่ม ทั้งยังปลอบใจทุกคนโดนบอกว่าครั้งหน้านางจะนำมาให้เยอะกว่าในครั้งนี้ “มิใช่ป้าหงทำหรอกหรือ” ซูเซวียนเอ่ยถามอยากแปลกใจ เมื่อเห็นซุนเหยานางปลอบใจแม่นมกับสาวใช้ “มิใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินน้อยสั่งมาจากเหลาอาหารเหม่ยสือเจ้าค่ะ” เป็นแม่นมที่เอ่ยขึ้น “เจ้ามิรู้อันใด” หลีซื่อที่กำลังจะอวดความเก่งกาจของลูกสะใภ้ ก็ถูกซุนเหยานางขัดไว้เสียก่อน “ท่านแม่ ท่านลองทานจานนี้ดูเจ้าค่ะ” หลีซื่อจึงรู้ได้ทันทีว่าซุนเหยานางมิอยากบอกเรื่องนี้กับบุตรชาย นางจึงไม่พูดอันใดต่อ ซูเซวียนที่ตั้งใจฟัง เมื่อเห็นมารดาไม่ยอมพูดต่อ เขาก็อารมณ์เสียจนไม่กินอาหารต่ออีก ผิดกับหงอี้ที่นางกินอย่างเอร็ดอร่อย “หากเจ้าชอบไว้ข้าจะพาเจ้าไปกินที่เหม่ยสือ” “ขอบคุณเจ้าค่ะ” หงอี้รับคำของซูเซวียนอย่างยินดี น้อยครั้งนักที่ท่านแม่ทัพจะใจกว้างเช่นนี้ “เหอะ” หลีซื่อแทบจะทนนั่งต่อไม่ได้ เพราะนึกรำคาญบุตรชายที่เอาใจแต่หงอี้ แต่กลับไม่พูดกับลูกสะใภ้ของนางสักคำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD