ตอนที่ 3
หลังสิ้นสุดการสนทนา อินทัชหันหลังเดินออกไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้อัศวพจน์และมีนาจัดเตรียมสัมภาระ โดยมีป้าคำแก้วเดินนำไปที่เรือนหลังเล็กซึ่งตั้งอยู่ห่างจากเรือนใหญ่ไม่มากนัก
เรือนหลังเล็กถูกสร้างขึ้นอย่างเรียบง่ายแต่ดูอบอุ่น มีสองห้องนอนและห้องน้ำในตัว มีนาเดินเข้าไปสำรวจภายในห้องพักที่ตกแต่งอย่างสบายตา เอาไว้เป็นที่รับรองแขกของพ่อเลี้ยง
“พ่อเลี้ยงของนาย ยังดูหนุ่มแน่นอยู่เลยนะพจน์” มีนาเอ่ยขึ้นระหว่างที่จัดกระเป๋า อัศวพจน์ยิ้มบาง ๆ
“ใช่... ตอนนั้นแม่ผมอายุมากกว่าพ่อเลี้ยงตั้งหนึ่งรอบ”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังจัดข้าวของกันอยู่ แสงหล้าหัวหน้าคนงานในไร่รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางใจดีก็เดินเข้ามาทักทาย
“สวัสดีครับ คุณพจน์” แสงหล้าเอ่ยทักทาย อัศวพจน์เพิ่งเคยกับแสงหล้าเป็นครั้งแรก เพราะเขาเพิ่งมาทำงานในไร่ได้ไม่กี่ปี
“สวัสดีครับ” อัศวพจน์รีบวางกระเป๋าแล้วยกมือไหว้ หัวหน้าคนงาน
“ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับพี่แสงหล้า “ แสงหล้ายิ้มรับอย่างเป็นมิตร
“พ่อเลี้ยงสั่งให้ผมเอาเงินนี้มาให้คุณครับ” แสงหล้ายื่นเงินสดจำนวนหนึ่งให้กับอัศวพจน์ เขามองถุงซองเอกสารสีน้ำตาลอย่างงุนงง ก่อนจะเอ่ยถาม
“เงินค่าอะไรครับพี่”
“เป็นคำสั่งของพ่อเลี้ยงอินทัช ที่ให้คุณพจน์พาภรรยาไปฝากท้องที่โรงพยาบาลในเมืองครับ”แสงหล้าตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลเป็นกันเอง
อัศวพจน์รับเงินมาถือไว้ในมือด้วยความแปลกใจ เขาไม่คาดคิดว่าพ่อเลี้ยงจะห่วงใยเขากับภรรยาถึงขนาดนี้ และนั่นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งในความมีน้ำใจของพ่อเลี้ยงมากขึ้นเป็นทวีคูณ
สองเดือนต่อมา
ดวงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องลงมาบนไร่ชาเขียวขจีอันกว้างใหญ่ กลิ่นดินชื้นผสมกับกลิ่นชาอ่อนๆ ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณ เรือนคนงานหลังเล็กท้ายไร่ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว กลายเป็นที่พักพิงใหม่ของอัศวพจน์และมีนา
อัศวพจน์ผู้ที่ปกติแล้วจะคุ้นเคยกับแสงสีในเมือง แต่เขายอมจำนนต่อความเงียบสงบนี้เพื่อความปลอดภัยของมีนาและตัวเอง
“นายว่า...ตำรวจจะแกะรอยตามหาเราได้มั้ย” มีนาถามเสียงกระซิบเบาๆ ระหว่างที่นั่งอยู่ด้วยกันภายในห้อง
“ผ่านมาเกือบสามเดือนแล้ว ทำไมคุณยังกังวลอยู่อีกล่ะ มันไม่ดีต่อเด็กนะครับ” อัศวพจน์นั่งลงข้างๆ พลางมองใบหน้าหวานซึ้งที่ตอนนี้ดูอ่อนโยนและไร้เดียงสากว่าเดิมหลายเท่านัก เขาใช้มืออีกข้างโอบกอดท้องที่นูนขึ้นของเธอเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นจากมือของเขาทำให้มีนาใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“ก็ฉันกลัวนี่น่า” มีนายอมรับตามตรง
“เดี๋ยววันนี้ผมจะเข้าไปในตัวเมือง พาคุณไปตรวจครรภ์” อัศวพจน์เสนอ
“ฝากท้องแล้ว ทำไมตรวจบ่อยจังล่ะ เกรงใจพ่อเลี้ยงอินทัช” มีนาถามด้วยน้ำเสียงที่แสดงให้เห็นถึงความเกรงอกเกรงใจ
“ก็หมอเค้านัดตรวจเดือนละครั้งนี่ครับ นี่ก็เกือบจะครบเจ็ดเดือนแล้ว ไปครั้งนี้หมอคงนัดผ่าคลอด” เขาตอบพลางสบตาเธออย่างจริงจัง
“แต่การเข้าไปในเมืองบ่อยๆ มันก็อันตรายกับนายนะ เกิดตำรวจตามหานายเจอขึ้นมาล่ะ...จะทำยังไง” อัศวพจน์ยิ้มให้เธออย่างมั่นใจ
“ถ้าตำรวจจะแกะรอยจริง ๆ ก็ต้องไปตามทะเบียนบ้าน ที่ผมอยู่กับพ่อแท้ๆ นู้น”
“อย่าเพิ่งมั่นใจไป ตำรวจเดี๋ยวนี้เค้าเก่งนะ”
“แต่เราทิ้งโทรศัพท์และก็เบอร์โทรเดิม ๆ ไปหมดแล้วนะครับ ตำรวจจะตามได้ยังไงล่ะ”
“อย่าประมาทไปเลย อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ” อัศวพจน์สอดนิ้วเข้าไปในอุ้งมือของมีนาแล้วบีบเบาๆ
“ไม่ห่วงครับ ผมจะสารภาพกับตำรวจเอง ถ้าถึงเวลานั้นจริง ๆ “ มีนาใจหายวาบ เธอรู้สึกผิดที่ปล่อยเขารับผิดชอบเรื่องนี้เพียงลำพัง
“ทำไมนายต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ ฉันก็มีส่วนผิดนะ”
“เพราะคุณยังต้องดูแลลูกไงครับ” อัศวพจน์ตอบ
“ฉันน่าจะรักนายให้ได้สักครึ่งหนึ่ง เหมือนอย่างที่นายรักฉันนะพจน์” ถ้อยคำแผ่วเบาของเธอเหมือนมีดที่กรีดลึกลงไปกลางใจของอัศวพจน์ แต่เขายังคงฝืนยิ้มปลอบโยนออกมา
“ผมรู้ครับ ว่าความรักมันบังคับกันไม่ได้ ผมเข้าใจคุณทุกอย่าง และที่ผมช่วยเหลือคุณผมก็ไม่ได้หวังความรักจากคุณเป็นสิ่งตอบแทนเลย”
เธอเงยหน้าขึ้นมองสบตาเขา ภาพสะท้อนของความเจ็บปวดในแววตาของเขาทำให้เธอรู้สึกผิดที่เคยใช้เขาเป็นเครื่องมือในการช่วยให้เธอหนีรอดจากเสี่ยสุชาติ
“นายเป็นคนดีจริง ๆ”
“ไปเถอะครับ เดี๋ยวจะสาย วันนี้ผมลางานแค่ครึ่งวันเอง เกรงใจพ่อเลี้ยง” เขาตัดบทและเลี่ยงที่จะสบตาเธออีกต่อไป เพราะกลัวว่าเธอจะเห็นความเจ็บปวดในแววตาของเขาที่เขาพยายามปิดบังเอาไว้สุดความสามารถ