ร่างผอมบางเดินมาหยุดที่กอไผ่ก่อนเป็นอันดับแรก ริมฝีปากซีดเซียวเผยยิ้มอ่อน จากนั้นนางก็เดินมาจับลำไผ่แล้วใช้มีดเคาะฟังเสียงบางอย่าง เสียงโปร่งที่ดังสะท้อนออกมาทำให้นางมั่นใจมากขึ้นว่าด้านในต้องมีด้วงไผ่อาศัยอยู่ สังเกตจากผงไม้ที่ถูกเจาะให้เห็น
“เด็ก ๆ ถอยออกไปยืนตรงนั้นก่อน” โบกมือไล่ทั้งคู่ ซึ่งเด็กน้อยก็รีบทำตามแต่โดยไว เมื่อเจ้าแฝดอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว หญิงสาวก็ลงมือใช้มีดฟันลำไผ่ขนาดเท่าต้นขาตนทันที
“พี่จื่อ พี่เหยาจะทำอะไรหรือ”
“พี่ก็ไม่รู้ เรารอดูไปก่อนนะ” คนพี่เอ่ยพร้อมกับปลอบไปด้วย เพราะรู้ว่าน้องสาวหิวมาก ตัวเขาเองก็เหมือนกัน ดีที่พึ่งอดข้าวแค่วันเดียว ถ้าอดตั้งแต่วันก่อนต้องทรมานมากกว่านี้เป็นแน่
สองพี่น้องมองพี่สาวหวดมีดใส่ลำไผ่ด้วยความหวัง แม้ไม่ค่อยเข้าใจว่าเหตุใดนางต้องตัดต้นใหญ่ แทนที่จะเป็นต้นเล็กเพราะมันน่าจะง่ายกว่า ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้เอ่ยถามขัดจังหวะ จนกระทั่งลำไผ่นั้นเอนตัวล้มลงมา พวกเขาก็เห็นพี่สาวยิ้มดีใจ
“เยอะเลย” นางเอ่ยเสียงดัง ก่อนจะหันมายกเอาถังไม้ใบเก่ามาเก็บด้วงไผ่ในปล้องออกจนไม่เหลือ นำพาให้เด็กน้อยสนใจเป็นอย่างมาก แต่พอเห็นว่ามันคืออะไรก็พากันร้องกริ๊ดด้วยความตื่นกลัว
“พี่เหยานี่มันหนอน” จื่อเทารีบเอ่ยพร้อมกับกอดน้องสาวไว้แน่น ขนอ่อนของทั้งคู่ลุกตั้งชันแข่งกันอย่างสามัคคี
“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องกลัวมันไม่กัดหรอก นี่แหละอาหารโปรดของปลา เราจะใช้สิ่งนี้ทำเหยื่อ” เอ่ยจบนางก็เดินไปเลือกลำไผ่ขนาดพอดีมือสำหรับทำคันเบ็ด จากนั้นก็ตัดมันขาดในฉับเดียว ก่อนจะเลาะจนเหลือเพียงลำไม้ตรงยาวพอดีสำหรับการใช้งาน
“ได้แล้วไปกันเถอะ ตรงไหนมีปลาชุม เจ้านำทางไปเลย” คว้าอุปกรณ์ทั้งหมดได้ นางก็สั่งเด็กชายทันที
จื่อเทาจึงเดินนำไปยังต้นน้ำของลำธารที่ไหลราดลงมาแถวบ้านของตน และยังเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายหลักของเมืองด้วย
“ว๊าว… ที่นี่เหรอ” พะแพงตาโตทันที
เมื่อเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้าที่ดูสวยสดงดงามเป็นอย่างมาก ‘ไม่ใช่สิ ไม่ใช่เวลามาชื่นชมธรรมชาติ ต้องรีบหาของกินก่อน’ เตือนตนเองในใจ มิใช่เพราะเป็นห่วงเด็ก แต่เป็นเพราะนางก็เริ่มหิวแล้ว เมื่อได้ที่เหมาะ หญิงสาวก็หยิบเอาด้วงในถังโยนลงไปก่อนสามสี่ตัวเพื่อล่อปลาให้มาชุมนุมกัน มันจะได้ง่ายตอนเธอลงมือ
“พี่เหยา จะหาปลาด้วยวิธีใดหรือขอรับ” เด็กน้อยถามอย่างพาซื่อ คราแรกเขาคิดว่านางจะต้องทำไม้ไผ่ให้เป็นปลายแหลมเพื่อเอาไว้แทงปลา เหมือนคนหาปลาทั่วไป แต่นี่กลับมีแค่ด้ามไผ่เล็ก ๆ
พะแพงหันขวับกลับมาหาทั้งคู่ที่นั่งมองตาปริบ ๆ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่ว “ที่เรือนพอจะมีอะไรที่ทำเป็นเชือกได้หรือเปล่า” กะพริบตาถี่รอคำตอบอย่างมีความหวัง
ทว่าเด็กน้อยกลับส่ายหน้าให้ ดวงตาที่เปล่งประกายจึงดับลงเหลือเพียงความสิ้นหวัง ตามมาด้วยเสียงทอดถอนใจ
“ทำไงล่ะทีนี้ ไม่มีสายจะตกปลายังไง” เสียงพึมพำแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน พลันสายลมเย็นก็พัดมาราวกับต้องการบอกให้นางคลายความกังวล และความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมา เมื่อมองเห็นต้นไม้น้อยที่กำลังเอนไหวตามแรงลมที่กำลังพัดเอื่อยมา “ต้นปอกะสา” จากนั้นนางก็หันมาหาเด็กน้อย “นี่เจ้าก่อไฟเป็นหรือไม่”
“เป็นขอรับ แต่ต้องกลับไปเอากระบอกไฟที่เรือนก่อน”
“งั้นก็รีบไป” นางโบกมือไล่ ก่อนจะเดินไปยังริมน้ำที่ห่างออกไปพอสมควร จากนั้นก็มุดเข้าไปในพุ่มหญ้าที่ขึ้นสูงท่วมหัว ไม่นานนักนางก็ออกมาพร้อมกับต้นไม้ที่มีขนาดเท่าแขนเด็ก
“พี่เหยาตัดไม้นี่มาทำไมหรือเจ้าคะ”
“ทำสายเบ็ด”
“สายเบ็ด? คืออะไรหรือเจ้าคะ”
“เอาน่า… รอดูก็พอ” ดุด้วยความรำคาญ จากนั้นนางก็สางกิ่งก้านออกจนหมด เหลือเพียงลำไม้ที่ยาวพอสมควร พอดีกับเด็กน้อยวิ่งกลับมา และหาฟืนมาก่อไฟอย่างคล่องแคล่ว
หญิงสาวก็เอาลำไม้มาลนไฟจนได้ที่แล้วก็ลอกเปลือกออก จากนั้นก็ใช้มีดขูดเปลือกที่หยาบกร้านทิ้งไป เหลือเพียงแค่เนื้อขาวด้านในที่จะเอามาใช้ทำเป็นสายสำหรับตกปลา
นางนั่งบิดเกลียวเชือกที่ทำจากเส้นใยต้นปอเหลือเท่าไม้จิ้มฟัน เพราะมันต้องพิถีพิถันจึงจะคงทนต่อการใช้งาน กระทั่งได้เชือกที่ยาวพอสำหรับใช้ตกปลา นางก็นำมาผูกกับเบ็ดต่างหูที่เตรียมไว้
“หวังว่าจะใช้งานได้เหมือนในสารคดีนะ” พึมพำแล้วก็เริ่มเกี่ยวเหยื่อแล้วหย่อนลงไปในน้ำที่มีฝูงปลาแหวกว่ายแย่งอาหารกัน
ไม่ถึงอึดใจ คันเบ็ดก็เริ่มกระตุก นางจึงค่อย ๆ ดึงเข้ามาที่ฝั่ง เพื่อไม่ให้มันขาดและเบ็ดที่ทำจากต่างหูนั้นหลุดไปด้วย
“ได้แล้ว” เสียงของเด็กน้อยร้องอย่างดีใจ เมื่อเห็นพี่สาวเอาปลาขึ้นจากน้ำได้สำเร็จ และมันก็ตัวใหญ่มากด้วย ต่อมาก็ตกได้เรื่อย ๆ จนตอนนี้ได้ปลาตัวโตเกือบจะเต็มถังที่เตรียมมาแล้ว
สองพี่น้องส่งเสียงซุบซิบด้วยความตื่นเต้น มือเกาะขอบถังไว้ราวกับเกรงว่ามันจะหายไปจากสายตาของตน
ด้านพะแพงเหลือบมองสองพี่น้องพร้อมกับคว่ำปาก ‘ชิ! มีความสุขกันจริงนะ’ นึกในใจเมื่อเห็นท่าทางกระดี้กระด๊าของเด็ก ๆ
“พวกเธอรออยู่ที่นี่ก่อนนะเดี๋ยวฉันมา”
“พี่เหยาจะไปไหนหรือ”
“ไปหาเกลือ”
“ที่เรือนเราไม่มีนะ” เด็กชายรีบบอก
“กะ… เกลือก็ไม่มีเหรอ” พะแพงไม่อยากเชื่อจริง ๆ ว่าชีวิตใหม่เธอจะขัดสนถึงขั้นเกลือก็ไม่มีปรุงอาหาร “เห้อ! ช่างเถอะ ยังไงพวกเธอก็รออยู่ตรงนี้แล้วกัน อย่าไปไหนล่ะ” พูดจบเธอก็เดินลัดเลาะกลับทางเดิม เพื่อไปเอาดินเค็มที่เห็นก่อนหน้านี้ และอาจต้องหาอะไรมาใส่ปลาอีก เพราะถังใบเดียวมันคงไม่พอ
ผ่านไปหนึ่งจิบชา หญิงสาวก็เดินกลับมาพร้อมกับถังอีกใบ แต่พอเดินเข้ามาถึงก็พบว่าเด็กน้อยได้แอบย่างปลากินกันแล้ว
นางมองด้วยหางตาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร เพราะพอเข้าใจว่าทั้งคู่คงหิวมาก ดีที่ย่างไปแค่ตัวเดียว ไม่งั้นมันคงเสียของแย่ เพราะเธอตั้งใจไปขุดเอาดินเค็มมาเพื่อพอกตัวปลาแล้วย่าง รสชาติมันจะได้กลมกล่อมน่ากินมากกว่าย่างเปล่า ๆ แบบนี้
“อร่อยไหม” ถามเสียงเรียบ แววตายังคงคมดุ สองพี่น้องพยักหน้าให้ คราแรกทั้งคู่ก็ตื่นกลัวเกรงว่านางจะตำหนิ
พะแพงยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินมานั่งเหลาไม้ไผ่ให้แหลม แล้วเสียบเข้าไปในตัวปลา จากนั้นก็เอาดินที่ขุดมาพอก เสร็จแล้วก็เอาไปพิงไว้ที่ก้อนหินข้างกองไฟ ทำอยู่แบบนั้นจนครบทุกตัว
สองพี่น้องนั่งมองอย่างสนใจ และเป็นจื่อเทาที่เอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “พี่เหยาใส่ดินไปเช่นนั้นมันจะกินได้หรือ” เมื่อครู่พวกเขาโยนปลาใส่กองไฟจนทำให้มันคลุกขี้เถ้าจนไม่น่ากิน แต่นี่พี่สาวกลับเอาดินมาพอกปลาจนมองไม่เห็นส่วนใด แล้วมันจะกินได้หรือ
“นี่แหละสูตรเด็ดของความอร่อย จำไว้” สิ้นคำร่างผอมบางก็ลุกขึ้นเดินตรงไปล้างมือ ก่อนจะกลับมานั่งตกปลาอีกรอบ เพื่อเอาไว้เป็นอาหารในช่วงเย็น และอาจเอาไว้ขายหรือแลกอะไรได้ด้วย
จากนั้นนางก็เริ่มถามถึงตัวตนของเด็กทั้งสอง และหมายจะถามถึงตัวตนเจ้าของร่างนี้ด้วย “เจ้าสองคนมีชื่อว่าอะไร”
สองพี่น้องมองหน้ากันเล็กน้อย ก่อนจะหันมาจ้องคนที่ถามตน ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความฉงน “พี่เหยาจำชื่อพวกข้าไม่ได้หรือ” จื่อเทาเอ่ยพร้อมกับเอียงหน้ามองอย่างไม่เข้าใจ
“ข้าจำได้แล้วจะถามทำไม” ตอบกลับพร้อมกับมองตาขวาง เด็กน้อยจึงรีบบอกชื่อแซ่ของตนให้ฟังด้วยความตื่นกลัว
“ข้าเถาจื่อเทา ส่วนนี่น้องสาวฝาแฝดข้า เถาม่านอี้ เราอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด มีพี่ชายนามว่าเถาหย่งเต๋อ เดินทางไปสอบบัณฑิตตั้งแต่สองปีก่อน ฝากพวกข้าไว้กับพี่ เพราะพี่คือคู่หมั้นเขา”
สิ้นคำเด็กน้อย หญิงสาวก็เบิกตากว้าง “คู่หมั้น! ฉันน่ะเหรอคู่หมั้นพี่ชายพวกเธอ ตกลงพวกเธอไม่ใช่น้องแท้ ๆ ของฉันงั้นเหรอ”
#เอ้า! มาเลี้ยงน้องคนอื่นอีก มันใช่เรื่องไหมนะ
ฝากกดใจ คอมเม้นกันด้วยนะคะ