ชลันธรมองดูโทรศัพท์ก็เห็นสายเรียกเข้า เมื่อดูแล้วว่าเป็นพ่อของลูก เธอจึงไม่รีรอที่จะโทรกลับทันทีเพราะอยากบอกข่าวดีนี้กับสามี
แต่...
เขาไม่รับสาย!
นาคิมเห็นสายเรียกเข้าเป็นเบอร์ของชลันธรแล้ว แต่ว่าเขาตั้งใจไม่รับเอง ต้องการจะสั่งสอนเธอให้รู้เสียบ้างว่าเขาโทรมาต้องรับ นอกจากจะไม่รับแล้วเขาก็คิดว่าจะไม่กลับไปที่คอนโดหนึ่งอาทิตย์เพื่อเป็นการลงโทษที่เธอไม่ใส่ใจต่อสายเรียกเข้าของเขา
ชลันธรโทรกลับไปหลายสาย แต่ก็ไม่มีการตอบรับ สุดท้ายเธอเลือกจะรอคุยกับเขาทีเดียวเย็นวันจันทร์ หวังว่าเขาจะดีใจที่จะได้มีลูกเหมือนอย่างที่เธอดีใจ
เช้าวันจันทร์ ชลันธรมาทำงานพร้อมกับเห็นรถของสามีเข้าไปจอด ขณะที่เธอเดินมาเพื่อจะขึ้นลิฟต์ แม้ว่าอีกแค่ก้าวเดียวเธอจะถึงแล้ว แต่เขาเลือกกดลิฟต์ขึ้นไป โดยไม่รอเธอ
พนักงานในบริษัทเห็นว่าบอสตั้งใจจะไม่ให้พนักงานเข้าไปด้วย จึงพากันรอลิฟต์ตัวด้านข้าง แต่ชลันธรอายเกินกว่าจะรอลิฟต์ตัวถัดไปได้ เธอเลือกขึ้นบันไดแทน เพราะจะได้หลบหน้าเสียงซุบซิบนินทา และสมน้ำหน้าอยู่กรายๆ ว่าไม่รู้จักเจียมตัว คิดจะขึ้นไปพร้อมกับเจ้านาย
แน่นอนว่าเธอสะเทือนใจมาก ที่ฐานะของเธอคือเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ไม่ได้รับสิทธิ์ให้ได้เดินเคียงคู่กับสามี
กำแพงความเข้มแข็งที่เคยเก็บมาตลอดหลายปีที่ได้อยู่กับเขาก็เกิดพังทลายลง เมื่อเธอเดินไปถึงชั้นที่ 8 ร่างเล็กก็ทรุดนั่งร้องไห้ออกมาที่บันได
เธออยากจับมือ อยากกอดเขา อยากทำเหมือนคนรักทั่วไปแสดงออกได้ แต่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์เลยงั้นเหรอ เขาทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน ทั้งๆ ที่ยามอยู่ด้วยกันเรารักกันมาก
หรือที่เขาแสดงมันแค่เปลือกนอก มือเล็กสะอื้นไห้เบาๆ กลัวใครผ่านมาจะได้ยินเข้า จนถึงใกล้เวลาทำงาน เธอจึงเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ ก่อนจะเข้าไปในออฟฟิศ ดีที่มีพาร์ติชันกั้น ทำให้เธอไม่ต้องกังวลว่าใครจะเห็นว่าเธอตาแดงเพราะว่าร้องไห้มา
ก่อนจะเปิดเครื่องคอมเพื่อทำงาน เธอเป่าปากถอนหายใจยาวๆ ก่อนจะตั้งสมาธิให้จดจ่อกับงานตรงหน้า
อนงนาถ สาวเปรี้ยวเฉี่ยวที่มาสายเป็นประจำวิ่งปรื๋อเข้ามานั่งหอบก่อนจะทักทายเพื่อน
“ว่าไงคุณแม่ วันนี้ฉันพลีชีพเพื่อเธอเลยนะ รับน้ำเต้าหู้ไป แล้วก็บำรุงหลานฉันให้ดีๆ ด้วย” อนงนาถพูดโดยไม่มองหน้าเพื่อนสาว เพราะต้องเตรียมตัวทำงาน และหัวหน้าก็ใกล้จะเข้ามาในออฟฟิศแล้วด้วย
“ขอบใจมากนะนาถ” เธอตอบด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ปกติ แต่ทว่ามันก็ยังติดสั่นเครืออยู่เล็กน้อย และคนอย่างอนงนาถก็สังเกตได้ทันที
“เป็นอะไร” เสียงเข้มคาดคั้น
“อาจจะเป็นเพราะฮอร์โมนคนท้อง คงไม่มีอะไรหรอก” ชลันธรบอกปัด ไม่อยากบอกเพื่อน แต่ว่าถึงอยากบอกก็ไม่รู้ว่าจะเล่ายังไง เพราะว่าเธอไม่มีสิทธิ์เล่าให้ใครฟังทั้งนั้น
“แกไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำให้ตัวเองอารมณ์ดีและสดใสไว้ มีอะไรก็บอกกัน” อนงนาถมองเพื่อนสาวก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ตั้งแต่ตอนเรียนจบมาตอนนี้ เธอก็มีแค่ชลันธรที่ยอมคบเป็นเพื่อน
“ได้ ทำงานกันเถอะเดี๋ยวโดนกินหัว” ชลันธรเปลี่ยนเรื่อง แล้วก็หัวหน้าเข้าห้องมาพอดี จึงไม่ได้พูดคุยกันต่อ
ชลันธรทำงานจนเกือบจะเลิกงาน อนงนาถก็โยนเอกสารบางอย่างมาให้เธอ
“กรอกซะ เดี๋ยวฉันเอาไปส่งฝ่ายบุคคลให้”
“อะไร” เธอหันหน้ามองเพื่อนแล้วก็มองเอกสาร
“รายละเอียดพนักงานตั้งครรภ์ บริษัทมีกฎห้ามพนักงานตั้งครรภ์ทำโอที แล้วก็ต้องรีบแจ้งตั้งแต่ที่รู้ว่าตั้งครรภ์ด้วย” อนงนาถเล่าให้เพื่อนฟัง เพราะเพิ่งเป็นตัวแทนแผนกเข้าไปร่วมประชุมมา
“ขนาดนี้เลยเหรอ”
“ใช่สิ ไม่งั้นผิดกฎหมาย บริษัทเราโดนเด้งเรื่องกฎหมายแรงงานกันพอดี ได้ข่าวว่าโดนเชือดกันมาหลายบริษัทแล้ว”
ชลันธรก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็กรอกไปตามที่เขาให้กรอก แล้วก็ส่งให้เพื่อน หลังจากนั้นก็จัดการงานต่อให้เสร็จ จนเมื่อสัญญาณเตือนที่ห้องของประธานบริษัทว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ
“แกไม่ต้องไปจะเลิกงานแล้ว เดี๋ยวเกิดต้องอยู่เย็น ฉันเอาเอกสารนี้ไปส่งแล้วจะแวะเข้าไปดูเลย” อนงนาถบอกเพื่อน
ชลันธรอยากขัดว่าจะเข้าไปดูเอง ที่จริงก็อยากจะพบหน้าเขา แต่เดี๋ยวก็จะได้เจอกัน ไม่สู้เธอกลับคอนโดไปทำอาหารอร่อยๆ ไว้รอเขาดีกว่าไหม
เมื่อคิดได้ดังนั้น ว่าที่คุณแม่ก็เข้าซุปเปอร์จับจ่ายอาหารสดและแน่นอนว่ามีแต่ของที่เขาชอบทั้งนั้น เธอทำอาหารตั้งที่โต๊ะและมองที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเขากลับมาถึงประมาณหนึ่งทุ่ม เธอเตรียมเอกสารที่แพทย์ออกให้รับรองว่าเธอตั้งครรภ์วางไว้ที่โต๊ะอาหาร เพื่อให้เขาหยิบมันขึ้น
แต่ว่า...ผ่านไปจนสองทุ่ม ก็ไม่มีเสียงเคาะประตู จนเที่ยงคืน อาหารที่เธอก็อุ่นอาหารแล้วก็ยกออกมา จนเย็นไปหลายรอบเขาก็ยังไม่มา
ใบหน้าสวยของเธอปริ่มด้วยน้ำตาอีกแล้ว เธอรู้ว่าเป็นอาการของคนตั้งครรภ์ ที่จะเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ เธอพยายามปลอบลูกของตัวเอง
“หนูคิดถึงพ่อใช่ไหม ไม่ต้องร้องนะเดี๋ยวพ่อเขาก็มา วันนี้เขาอาจจะติดงานดึก” เธอพูดไปพร้อมน้ำตาที่รินไหลออกมา จนเธอเผลอหลับไปที่โซฟาแล้วก็ไม่รู้ว่าเขามาหรือเปล่า จนเมื่อสะดุ้งตื่นอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเกือบตีสี่แล้ว
ร่างเล็กวิ่งไปเปิดไฟในห้อง คิดว่าจะได้เจอร่างของเขาที่เตียง ในใจก็หวังลึกๆ ว่าเขาอาจจะไม่เห็นเธอแล้วเข้านอนไปแล้ว
แต่ไฟเปิดขนาดนั้นจะไม่เห็นได้อย่างไร เธอมองที่เตียงขณะไฟเปิดก็ไม่พบร่างที่เคยกอดกันทุกคืนอย่างเคย แล้วน้ำตาของเธอก็ปริ่มขึ้นมาพร้อมกับเสียงท้องร้อง
เธอรอกินข้าวพร้อมเขา จนหลับแล้วก็ไม่ได้กิน ลูกเธอคงหิวแล้วเป็นแน่
“แม่ขอโทษลูกแต่เรากินข้าวกันสองคนแม่ลูกเถอะนะ” ชลันธรบอกกับลูกในท้อง เธอไปนั่งที่โต๊ะตักข้าวกินทีละคำทั้งที่มันเย็นชืดแบบนั้น เคล้ากับน้ำตาที่มันมีรสชาติเค็มปะแล่ม
ถามว่ามันอร่อยไหม ก็บอกได้แค่ว่าเธอแทบไม่รู้รสชาติมันด้วยซ้ำ สายตาเธอมองที่โทรศัพท์ ไม่มีทั้งสายเรียกเข้าและข้อความใดๆ จากเขาเลย
เธอน้อยใจ ที่เขาผิดสัญญาไม่มาหาเธออย่างที่บอก ข่าวดีที่ตั้งใจจะบอกเขา ก็ไม่ได้บอกสักที จนเธอกินข้าวอิ่มแล้วก็ทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อยก่อนจะอาบน้ำ เพื่อเตรียมตัวไปทำงาน
เธอออกมาทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางดี เมื่อถึงที่ทำงานก็แน่นอนว่ายังไม่มีใครมาเลยด้วยซ้ำ เธอมองไปยังลานจอดรถก็ไม่มีรถของเขาอยู่ เขาไม่ได้โหมงานหนักทั้งคืนและนอนบริษัท
เขาทิ้งให้เธอรอ แต่ไม่บอกเธอว่าอยู่ไหน เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะคอยโทรตามโทรเช็คเขา จึงได้แค่กลืนน้ำลายลงคอ แล้วก็ขึ้นไปบนออฟฟิศทำงานของเธออย่างเป็นปกติ
เมื่ออนงนาถเข้ามาเธอพยายามยิ้มอย่างสดใส เพื่อไม่ให้เพื่อนเป็นห่วง เธอกลบเกลื่อนด้วยการหางานยุ่งๆ ให้ตัวเองเกือบอาทิตย์ และใช่เธอไม่ได้เห็นเขาแม้แต่เงามาหนึ่งอาทิตย์เต็ม เธอเลิกรอเขาตั้งแต่วันที่สอง และตั้งใจทำงานของตัวเองไป จนวันศุกร์เธอก็กลับมาที่คอนโดของเธออีกครั้ง
ห้องเดิมที่เคยอยู่คนเดียว มีเพื่อนมาแฮงเอ้าท์บ้างบางครั้ง มันก็รู้สึกเหงาไปถนัดตาเมื่อเธอกลับห้องมาคนเดียว
“พ่อเขาแค่ยุ่งเนอะลูก ไม่ใช่ว่าเขาไม่ต้องการหนู” เธอปลอบใจลูกในท้องด้วยการพูดกับลูกทุกวัน เมื่อเธอพูดกับลูกทีไร วันนั้นทั้งวันเธอจะไม่แพ้ท้องเลย แต่เมื่อเธอเอาแต่คิดถึงเขา เธอคลื่นไส้ตลอดคืนแทบไม่ได้นอน
ชลันธรรับรู้ว่าลูกไม่อยากให้เธอคิดมาก แค่มีเขาอยู่กับเธอก็เพียงพอแล้ว แต่เธอดันอยากได้มากกว่านั้น อยากได้ความรักความเอาใจใส่จากเขา ซึ่งมันจะเป็นไปได้อย่างไร
แค่ทำงานอยู่คนละชั้นไม่ได้ห่างกันมาก ยังแทบไม่ได้เจอกันเลย จะหวังความรักอะไรจากเขา
นาคิมกลับบ้านตลอดอาทิตย์จนคุณหญิงศรีประภาพอใจ
“อาทิตย์นี้กลับบ้านทุกวัน ก็ดีจะได้ทำตัวดีสมเป็นสามีของหนูพิมรฐา”
“แม่ครับ...!” นาคิมโดนมารดาจับให้แต่งงานกับ พิมรฐา โดยการพูดกรอกหูเขาทุกวัน จนเขาเริ่มเบื่อแล้ว และที่กลับมาเพราะอยากสั่งสอนชลันธรต่างหาก
“อย่ามาทำเสียงเบื่อหน่ายกับแม่ แม่ไปดูฤกษ์แล้ว ต้องหมั้นก่อนถึงจะแต่ง ดวงของลูกกับน้องยังไม่มีฤกษ์แต่ง แต่หมั้นกันไว้ก่อนได้”
“ผมบอกแล้วไงว่าอยากแต่งงานกับผู้หญิงที่เลือกเอง”
“ก็แกไม่เลือกสักที แม่ก็เลือกให้แกนี่ไง”
“แม่ครับ ของอย่างนี้มันก็ต้องดูกันนานๆ ครับ จะให้มองแค่แวบเดียวจะตัดสินได้อย่างไรว่าอยู่กันรอด ผมไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” นาคิมเกิดจากครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองดีและเก่งกว่า แต่เป็นช่วงที่เขาโตแล้ว เลยไม่รู้สึกอะไร
“แกอย่ามาแซะแม่” ศรีประภารู้ว่าลูกชายตัวเองหมายถึงอะไร แต่ว่าเธออยากมีหลานให้อุ้ม อยากไปอวดลูกสะใภ้กับคนอื่นบ้าง
นาคิมเดินขึ้นห้องไม่สนใจคำบ่นของมารดาอีกเลย