ณ มหาวิทยาลัย (โรงอาหาร 3) เวลา 13.15 น.
“ถ้าอยากได้แฟนเรียนคณะไหนก็ไปลูบป้ายคณะนั้นสิ”
“แฟนมันหาง่ายมากมั้ง ถ้าทำแบบนั้นแล้วมีแฟนง่าย ๆ คงไม่มีคนโสดบนโลกใบนี้”
“ในมอเขามีแฟนไปหลายคนแล้วจ้าจากวิธีนี้ ลองนิดลองหน่อยก็ไม่เสียหายหรอก อยู่มาจนปีสองอยากมีแฟนแล้วเนี่ยขอพระแม่ก็ไม่ได้สักที สังคมบีบบังคับให้กูต้องมี!”
เสียงบทสนทนาของผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่เดินผ่านหลังไปดังเล็ดลอดเข้ามาในโสตประสาทหู สิ่งที่พวกเธอได้คุยกันนั้นรู้สึกว่าช่วงนี้จะมีกระแสที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น จากแรกเริ่มก็เห็นมันมาจากในโซเชียลและตอนนี้ผู้หญิงในมอหลายคนก็เริ่มทำวิธีแบบนั้นและดูเหมือนว่าจะได้ผลกันเยอะด้วย
“สังคมก็บีบให้กูต้องมีแฟนเหมือนกัน อยากมีแฟนเนอะใจ๋”
“ไม่” เสียงหวานตอบกลับนิ่งเรียบในขณะที่สายตายังคงให้ความสนใจกับเนื้อหาการเรียนในไอแพดตรงหน้า
‘หวานใจ’ หรือชื่อเรียกติดปากคนรอบข้าง ‘หวานใจ๋’ ด้วยสำเนียงของสาวเหนืออย่างแม่ทำให้เวลาที่ใครถามว่าชื่อลูกสาวในวัยเด็ก เสียงจะออกไปมาทาง ‘ใจ๋’ มากกว่าจะเป็น ‘ใจ’
และด้วยเหตุความเคยชินส่งผลทำให้ติดปากตัวเองไปด้วยอีกคนเวลาใครถามจะตอบว่าชื่อ ใจ๋ เพราะฉะนั้นจะมีแค่คนในครอบครัว ญาติและเพื่อนบางคนเท่านั้นที่จะรู้ว่าชื่อเล่นจริง ๆ ของฉันต้องเรียกว่า ‘หวานใจ’
แล้วไอ้คำตอบแสนเย็นชาไร้เยื่อใยที่ให้เพื่อนไป สิ่งที่พูดนั้นก็ออกมาจากใจจริงเพื่อนในกลุ่มต่างรู้ดี ฉันที่ไม่มีความสนใจเรื่องผู้ชายและก็รู้ดีเช่นเดียวกันว่าผู้ชาย...ไม่มีทางหันมาสนใจในตัวเองเช่นเดียวกัน
“ปีสี่แล้วถ้าไม่มีแฟน วัยทำงานก็ไม่มีเวลาหาแฟนแล้วนะใจ๋!”
‘แยมส้ม’ พูดด้วยเสียงจริงจังใบหน้าเคร่งเครียด คนที่สังคมบีบบังคับให้ต้องมีแฟนกำลังจะคลุ้มคลั่งหรือไง?
“ก็ไปลูบดูสิ เอาคณะไหนเลือกเลย” ฉันไม่เข้าใจความอยากมีแฟนของพวกเพื่อนสักนิด สังคมบีบบังคับอะไรไม่เห็นจะเข้าใจเลย...
“ไปพูดกับใจ๋มันทำไมเรื่องแฟน สนใจด้วยเหรอเรื่องผู้ชายวัน ๆ อยู่แต่กับตัวเลข เลิกเรียนก็ต้องกลับไปเป็นแจ๋วทำงานบ้านที่บ้านสมุทรต่อ”
‘ข้าวหอม’ ปิดตลับแป้งแบรนด์หรูในมือลงหลังพูดจบ สายตาดุของเพื่อนจ้องมองมาทางฉันเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นคำพูดที่ฟังดูแรงแต่เพื่อนฉันเป็นคนใจดีมาก แค่พูดตรงประเด็นไม่อ้อมค้อมก็เท่านั้น
“ก็...ต้องไปทำงานนี่นา” ส่วนฉันก็เป็นพวกโกหกหน้านิ่ง และเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกเดียวที่คนในมหาลัยต่างรู้กันดี
“เรียนทำงานเรียนทำงาน จะมีแฟนกับเขามั้ยเนี่ยใจ๋” สาวสวยอย่างข้าวหอมที่ไม่เคยใช้คำว่าโสดนานเกิน 7 วันยังขยันตั้งคำถามใส่ฉันอยู่ตลอด
“ข้าวก็มีเผื่อไปแล้วไง กูไม่ต้องมีหรอกรอกินอาหารเม็ดเวลามึงเลิกกับแฟน” กินจนอิ่มขนาดนี้ ไม่ต้องมีแฟนก็รู้จักความรักจากเพื่อนพอสมควรอยู่แล้ว
“หัวฟู ใส่แว่น บอกให้แต่งหน้าผู้ชายจะได้มาจีบ!” แยมส้มที่นั่งอยู่ข้างกันพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วแต่งหน้าขนาดนี้มีคนมาจีบบ้างยัง” ฉันหันกลับไปสบตากับเพื่อน ย้อนถามด้วยน้ำเสียงและใบหน้าเรียบเฉย
“แรงมากใจ๋ กูงอนมึงแล้ว” แยมส้มยกแขนขึ้นกอดอกอย่างไม่พอใจ หันหลังให้ทำทีเป็นงอนจนตัวเองต้องเลิกอ่านหนังสือแล้วกลับมาง้อเพื่อนทันที
“ขอโทษ อย่างอนนะแยมหอมแก้ม หอมแก้ม ~”
พวกนี้นี่สนใจแต่เรื่องแฟนตั้งแต่ปี 1 จนปี 4 ไม่เคยเปลี่ยนเลย...
แล้วต่อให้ตัวเองไม่สนใจผู้ชาย ไม่มีผู้ชายเข้ามาจีบก็ไม่มีโอกาสได้ศึกษาหาคนที่ใจชอบได้จริง ๆ หรอก ถึงจะไม่มีแฟนก่อนเรียนจบสุดท้ายก็ต้องแต่งงานอยู่ดีนั่นแหละ...
วันเดียวกัน ณ หมู่บ้านจัดสรร เวลา 17.15 น.
ตึก ตึก ตึก
เท้าเล็กก้าวเดินไปตามทางเข้าหมู่บ้านจัดสรรที่อยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยไม่มากสักเท่าไร บ้านหลังโตที่ถูกแบ่งสัดส่วนความเป็นส่วนตัวได้อย่างดีเยี่ยม ความเงียบสงบและความสะอาดสามารถบ่งบอกได้ถึงคุณภาพชีวิตที่มาพร้อมราคาบ้าน
และเพราะความเป็นบ้านหรูนี่แหละที่ทำให้วินมอไซค์ไม่สามารถเข้ามาส่งฉันได้ถึงข้างในนี้ได้ บุคคลที่ไม่มีรถส่วนตัวก็ต้องเดินด้วยเท้าทั้งสองข้างมุ่งตรงไปทางบ้านของตัวเอง
ไม่ได้สิ จะพูดว่าตัวเองก็ไม่ได้เพราะมันคือบ้านของ… เจ้าสมุทร
กริ้ก!
ประตูรั้วช่องเล็กเปิดออกให้ฉันได้เดินเข้าไป และเมื่อเดินพ้นรั้วสูงเข้ามาสายตาก็เห็นเข้ากับรถหรูที่จอดนิ่งอยู่ในโรงจอด ปกติคนนั้นไม่ค่อยอยู่บ้านช่วงค่ำสักเท่าไร สามารถออกไปข้างนอกแล้วกลับมาเช้าของอีกวันได้หรือไม่ก็กลับมาดึกในช่วงที่ฉันนอนหลับไปแล้ว
มันไม่ใช่เพียงแค่การหลบหน้า แต่เป็นการแสดงออกชัดเจนว่าไม่ต้องการเห็นหน้าเลยต่างหาก…
กริ้ก!
ประตูบานใหญ่ถูกดันเปิดออกในระยะความกว้างที่พอดีกับตัวฉันได้เดินเข้าไป
บรรยากาศภายในบ้านที่มีความเย็นจากเครื่องปรับอากาศและความเงียบสงบ เพราะในเวลานี้ป้าน้ำฝนกับพี่บีแม่บ้านประจำของที่นี่ถึงเวลาเลิกงานกลับกันหมดแล้ว บ้านหลังใหญ่โตจะมีเพียงแค่ฉันอยู่เพียงลำพังกับลูกชายผู้เป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
(แล้วทำไมถึงไม่รับหวานใจ๋กลับมาจากมหาวิทยาลัยด้วย!)
กึก!
เสียงบทสนทนาของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมาจากห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันที่ฉันกำลังจะเดินผ่านพอดี และชื่อของตัวเองที่ดังเข้ามาในหูทำเอาเท้าเล็กหยุดชะงักนิ่งอยู่กับที่
จากนั้นก็ค่อย ๆ หันหน้าไปมองตามเสียงก็พบกับ เส้นผมสีน้ำตาลเข้มกับแผ่นหลังกว้างของผู้ชายตัวสูงที่นั่งอยู่บนโซฟา ต่อให้หันหลังหรือได้ยินเพียงแค่เสียงฉันก็จำทันทีว่าฝ่ายนั้นเป็นใคร
เจ้าสมุทร…
ผู้ชายเพียงแค่ไม่กี่คนที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในมหาวิทยาลัย ‘เจ้าสมุทร’ ที่ใครก็ต่างให้ความสนใจแต่ยังไม่มีใครมีความกล้ามากพอจะเข้าหาแล้วก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม
ผู้ชายที่ไม่เคยคบใครเป็นแฟนจริงจัง แต่ก็คงมีอะไรกับผู้หญิงบ้างตามประสาของผู้ชายละมั้ง?
ในส่วนนี้ฉันไม่รู้ก็แค่คาดเดาไปตามประสาก็เห็นออกไปเมานอกบ้านทุกวัน…