บทที่ 9
ฟึบ!
“แกไปไหนมาเนี่ยสวย โคตรนานเลยฉันโทรไปแกก็ไม่รับสาย” หลังจากที่ฉันวิ่งกลับมาถึงลานคณะของตัวเองแล้ว ฉันก็ค่อยๆย่องเข้ามานั่งขัดสมาธิข้างหลังน้ำพิ้งค์ช่วงจังหวะที่พี่ๆเขากำลังสนใจอย่างอื่น
ใช่ตอนฉันกลับมาถึงพี่ๆในคณะมากันครบแล้ว ยัยน้ำพิ้งค์ที่นั่งอยู่ด้านหน้าฉันจึงหันมาถามหน้าเครียด
มันคงจะเครียดที่โทรหาฉันแล้วฉันไม่รับสาย ที่ฉันไม่รับสายมันก็เพราะว่า…ฉันปิดเสียงไว้ สาเหตุที่ปิดเสียงไว้เพราะตอนที่เรียนอยู่ฉันกลัวจะมีเสียงแทรกเข้ามาตอนเรียน เดี๋ยวจะโดนอาจารย์ดุเอาถ้าจู่ ๆเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นตอนที่กำลังเรียน ฉันก็เลยปิดเสียงไว้ แต่พอเรียนจบคลาสฉันก็ดันลืมเปิดเสียงกลับตามเดิมตลอด ก็เลยไม่ได้ยินเสียงตอนที่น้ำพิ้งค์โทรหา
“โทษทีมึง พอดีกูไปซื้อน้ำที่โรงอาหารวิศวะมาอะ”
"ห้ะ? อะไรทำให้มึงต้องถ่อสังขารตัวเองไปถึงที่ที่มึงไม่อยากเหยียบแบบนั้นสวย" ก็ตามที่รู้กันว่าฉันไม่ถูกกับโรงอาหารวิศวะเหตุผลก็เพราะก่อนหน้านี้ฉันชอบหลบหน้าพี่เธียรอยู่ตลอด น้ำพิ้งค์เลยแปลกใจที่ฉันบอกว่าไปที่นั่นมา
"โรงอาหารคณะเราปิด...อะ" ฉันตอบพลางเหลือบตามองไปยังร่างสูงของพี่เธียรที่กำลังเดินไปหาพี่ทามสามีน้ำพิ้งค์ หลังจากที่เพิ่งเดินมาถึงลานคณะของตัวเอง
"พี่เธียร...นี่มึงอย่าบอกนะว่าไปเจอพี่เธียรมา" ฉันหันขวับทันทีที่ยัยน้ำพิ้งค์พูดเสียงเจ้าเล่ห์ออกมาแบบนั้นซึ่งสายตาตอนที่มันพูดเมื่อกี้กำลังมองพี่เธียรอยู่ด้วยก่อนที่มันจะค่อยๆหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ฉัน
"เปล่านะ" ฉันเลยรีบปฏิเสธน้ำพิ้งค์ทันทีเพราะกลัวว่ามันจะคิดว่าฉันแอบไปนัดพบกับพี่เธียรมา
"สายตาเลิ่กลั่กขนาดนั้น ยังจะมาเปล่าอีกนะ"
"ก็เปล่าจริงนี่"
"น้องสวยน้องพิ้งค์สองคนข้างหลังสุดมีอะไรหรือเปล่าครับ!" เสียงหนึ่งในพี่คณะที่ยืนอยู่ด้านหน้าตะโกนถามฉันกับน้ำพิ้งค์เสียงดังจนทุกคนที่นั่งอยู่หันมามองเป็นตาเดียว รวมถึงพี่เธียรกับพี่ทามที่อยู่ลานคณะอีกฝั่งด้วย ทำเอาฉันหน้าสั่นทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว แล้วพอชำเลืองตามองไปยังอีกฝั่งฉันก็เห็นพี่เธียรยังยืนมองนิ่งเหมือนเดิมอีกด้วย
"พวกมึงสองคนมีอะไรกันปะ"
"มึงอย่าเพิ่งถามพริกเดี๋ยวก็โดนอีพี่แว่นมันเรียกไปเต้นมัดหมี่อีกหรอก"
พี่แว่นที่น้ำพิ้งค์บอกพริกไทยก็คือพี่แว่นคนเดียวกันกับที่สั่งทำโทษพวกมันสองคนให้เต้นมัดหมี่ตอนไปงานสายรหัสสายเมื่อหลายเดือนที่แล้วซึ่งอยู่ในพาร์ทของยัยน้ำพิ้งค์ น้ำพิ้งค์มันเลยต้องรีบห้ามยัยพริกไทยไว้ ไม่งั้นพวกเราสามคนได้ออกไปเต้นท่าแหย่รูให้คณะข้าง ๆ ดูแน่ ๆ
"เออๆ" พริกไทยตอบรับก่อนจะหันกลับไปทางเดิมอย่างเข้าใจ
"ว่าไงครับ พวกน้องสามคนมีอะไรกันหรือเปล่า" พี่แว่นคนเดิมถาม
"ไม่มีค่ะ พอดีเพื่อนหนูมันปวดท้องอะค่ะ" ห้ะ? เดี๋ยวใครปวดท้อง ฉันไม่ได้ปวดท้องนะ น้ำพิ้งค์เหรอ? มันก็ส่ายหน้า แล้วใครปวดท้อง
"คนไหนที่ปวดท้องครับ"
"คนนี้ค่ะ" แล้วมันก็ชี้นิ้วมาที่ฉัน ฉันละอยากบ้าตายกับความไม่นัดกันก่อนของมันจริงๆ แล้วคือฉันสบายดีไง!
"น้องสวยปวดท้องเหรอคะ" พี่สตาฟผู้หญิงที่อยู่ใกล้ฉันที่สุดเดินมาถามฉัน ฉันเลยมองหน้าพริกไทยแวบหนึ่งก่อนจะจำใจโกหกออกไป "อะเอ๋อ...ค่ะ"
"งั้นน้องลุกขึ้นไปนั่งที่ม้าหินอ่อนตรงนั้นก่อนนะคะ เดี๋ยวพี่ไปเอายามาให้" ฉันหันไปมองม้าหินอ่อนที่พี่สตาฟว่าถึงกับถอนหายใจเพราะมันเป็นม้าหินอ่อนที่ใกล้กับลานคณะของพี่เธียรแค่ไม่กี่ก้าวเอง
ถ้าฉันจะขอเปลี่ยนเป็นตะคริวกินขาตอนนี้ยังทันไหม จะได้ไม่ต้องลุกขึ้นไปไหน
"รีบไปก่อนเถอะมึง เดี๋ยวอีพี่แว่นมันรู้ว่าอีพริกมันโกหกพวกเราโดนเต้นมัดหมี่แน่" น้ำพิ้งค์กระซิบเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน ฉันที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับถอนหายใจอีกรอบก่อนจะจำใจลุกขึ้นไปนั่งตรงที่พี่สตาฟบอกไว้
พอมานั่งได้สักพักพี่สตาฟคนเดิมก็เอายาแก้ปวดท้องมาให้ฉันกิน แต่ฉันไม่ได้กินหรอกนะเพราะฉันกำยาไว้ในมือแล้วเก็บเข้ากระเป๋าไว้ จากนั้นก็นั่งรับบทคนป่วยรอพี่ๆเขาปล่อยให้กลับบ้านแทน
แต่ระหว่างที่นั่งรอ…คณะข้างๆก็เสียงดังจนฉันแอบสะดุ้งอยู่หลายครั้งเหมือนกัน พี่ทามแฟนน้ำพิ้งค์เขาตะคอกถามรุ่นน้องที่นั่งอยู่ข้างล่างแต่รุ่นน้องของพวกเขาตอบเสียงเบาพี่เธียรเลยต้องตะคอกถามซ้ำที่พี่ทามถามไปอีกครั้ง
ซึ่งฉันก็อยากรู้จริงๆว่าทำไมไม่คุยกันดีๆ ทำไมไม่คุยเสียงปกติ ตะคอกตะโกนกันแบบนั้นมันได้อะไรนอกจากเจ็บคอเปล่าๆ เฮ้อ~แต่ก็ช่างเขาเถอะเพราะเขาก็คงต้องเก็บรักษาขนบธรรมเนียมของเขาต่อไปละมั้ง
พอฉันเลิกสนใจคณะข้างๆแล้วฉันก็หันมาสนใจที่คณะของตัวเองต่อ ที่พี่ๆเขานัดมาเจอกันวันนี้ก็เพราะว่ามหาวิทยาลัยของพวกเราใกล้จะสอบแล้ว พี่ๆเลยนัดมาเจอและนัดเวลาเพื่อแบ่งกันมาติวให้กับน้อง ๆ ปีหนึ่ง ซึ่งฉันได้ยินที่พี่ภีมเคยเล่ามาก็คือทุกๆปีเวลาใกล้จะสอบพี่ๆปีสองถึงสามจะนัดรวมกันช่วงใกล้จะสอบเพื่อมาแบ่งหน้าที่ในการติวน้อง ๆ ปีหนึ่ง ซึ่งสิ่งนี้คณะแพทย์ของเราทำกันมานานแล้ว ปีนี้ก็ทำเหมือนเดิมและนอกจากมาคุยเรื่องติวแล้ว พี่ๆเขาก็มาแจ้งเรื่องการไปค่ายช่วงปิดเทอมด้วย
ใช่ค่ะปิดเทอมนี้เรามีกิจกรรมให้ไปทำกัน นั้นก็คือเป็นการเข้าค่ายไปช่วยเหลือพื้นที่ห่างไกล ที่ฉันรู้มาจากพี่ภีมก็คือปีนี้เราจะไปเชียงใหม่กัน ไปในโครงการช่วยเหลือโรงเรียนยากจนในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งตอนนี้พี่ๆเขาก็กำลังแจ้งรายละเอียดกับเพื่อนๆด้วย แต่โครงการนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจล้วน ๆ ใครอยากไปก็ลงชื่อแต่ถ้าไม่สะดวกที่จะไปหรือลำบากใจที่จะไปก็ไม่ว่ากัน
.
.
.
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป...
จึก! จึก!
"งื้อ~" ฉันงัวเงียเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะม้าหินอ่อนหลังจากที่ไม่รู้ว่าเผลอฟุบหน้าลงไปนอนบนโต๊ะตั้งแต่ตอนไหน แต่เอะ! เดี๋ยวนะเมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนมีคนมาสะกิดไหล่ฉันเลย
ขวับ!
พอคิดได้ดังนั้นฉันก็เงยหน้าขึ้นไปมองทันที "พี่เธียร!" และใช่ค่ะ คนที่มาสะกิดไหล่ฉันก็คือพี่เธียรนั้นเอง นี่เขาข้ามเข้ามาในเขตลานคณะของฉันเหรอ?
"ยังปวดท้องอยู่ไหม"
ท้อง? เออใช่ ฉันรับบทเป็นผู้ป่วยปวดท้องอยู่นี่ แต่พอหันไปหายัยเพื่อนตัวแสบอย่างยัยพริกไทยที่เป็นต้นเหตุแล้วก็พบว่าพวกมันไม่อยู่แล้ว และพี่ในคณะของฉันก็หายไปหมดแล้วด้วย นี่ทุกคนกลับบ้านกันไปหมดแล้วเหรอ แล้วทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ!
"ทุกคนเพิ่งกลับไปเมื่อกี้เอง ฉันเป็นคนสั่งสตาฟเธอไม่ให้ปลุกเองเพราะได้ยินเพื่อนของเธอตะโกนบอกว่าเธอปวดท้อง"
อย่างนี้นี่เอง แล้วเขาใช้สิทธิ์อะไรไปสั่งพี่สตาฟของฉันล่ะ?
"แล้วพี่ใช้สิทธิ์อะไรไปสั่งพี่เขาอะ"
"ใช้สิทธิ์แฟนเธอไง...หรือว่าผัวเธอดี?" อุ๊ป! ฉันรีบลุกขึ้นยืนเอามือปิดปากพี่เธียรทันทีที่พูดจาแบบนั้นออกมา เขาจะมาใช้คำว่าแฟนกับผัวพร่ำเพรื่อกับฉันแบบนี้ไม่ได้นะ เราไม่ได้เป็นอะไรกันด้วยซ้ำ
"พี่ห้ามพูดแบบนี้เด็ดขาดเลยนะ สวยไม่ใช่แฟนพี่"
"แต่เธอคือเมียฉัน...ใช่ไหม?"
เฮ้อ~ ฉันละอยากบ้าตายรายวัน ทำไมพี่เธียรถึงได้หน้ามึนแบบนี้นะ หลังจากที่พี่เธียรพูดออกมาแบบนั้นฉันก็ยืนจ้องหน้าพี่เธียรตาเขียวก่อนจะหันไปหยิบกระเป๋ามาสะพายไหล่อย่างขึงขังจากนั้นก็สะบัดหน้าเดินผ่านพี่เธียรหน้าบึ้งไปทันที
คนบ้าอะไรขี้มึนชะมัด ขนาดฉันหลบหน้าแถมปฏิเสธขนาดนั้นไปแล้วยังหน้ามึนได้อีก ฉันชักจะเหนื่อยแล้วนะ แล้วไหนจะเรื่องที่เขาย้ายมาอยู่กับฉันอีก ฮื่อ~
ฉันอยากลาออกจากการเป็นตัวเอง!
หมับ!
"เผื่อเธอลืมว่าวันนี้เธอมากับฉัน" เหอะ ฟังนะฉันไม่ได้ลืมโว้ย! แต่ฉันกำลังเนียนจะเดินไปเรียกแท็กซี่ต่างหาก
"ไม่ได้ลืมแต่ไม่อยากกลับพร้อมกัน ชัดไหมคะ"
"งั้นก็ฟังด้วยนะว่าเธอต้องกลับพร้อมฉัน ชัดไหม" พูดจบพี่เธียรก็ยืนจ้องตาฉัน ซึ่งฉันก็จ้องตาเขากลับเหมือนกันแต่สุดท้ายคนที่แพ้สายตาบ้าบอนั่นก็คือฉัน!