บทที่ 2 ผู้หญิงอาภัพชื่อชลิดา
“มึงออกไปก่อน..ที่เหลือกูจัดการเอง” วิทชธรโบกมือไล่
“ครับนาย” เพชรก้มหยิบหนังสือที่ตกอยู่บนพื้นเดินมาวางบนโต๊ะ ขยิบตาเป็นเชิงหยอกเย้าพร้อมพูดเสียงเบากับเจ้านายสุดหล่อ
“น้องงานดีนะครับ วันก่อนเห็นบ่นว่าอยากหาสาวพื้นที่ทรงบึ้มๆ ผูกปิ่นโต เพราะขี้เกียจขับรถเข้ากรุงเทพเวลาอยากกินตับ นายลองดีลกับน้องดู..เผื่อได้”
“ดีลพ่องมึงสิ” วิทชธรพูดเสียงลอดไรฟัน แต่ยังไม่ทันด่าต่อไอ้ลูกน้องตัวดีก็เผ่นหนีไปเสียก่อน
จึงเหลือเขาและเธอเพียงสองคน
“เรียนจบอะไรมา”
“ปวส.บัญชีค่ะ” ชลิดาดูตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่ออยู่สองต่อสอง
ถึงเคยถูกเจ้าหนี้ของพุดเรียกไปถามหลายครั้ง แต่ไม่เคยมีครั้งไหนทำให้หวั่นใจได้เท่าตอนนี้ ถึงเขาหล่อเหลาหมดจด ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว แต่มีบางอย่างทำให้เธอหวาดกลัวและกริ่งเกรง
ชายหนุ่มไม่ได้มองอย่างหยาบคาย ไม่ได้โลมเลียกระหายหิวเหมือนพวกหื่นกามที่เคยเจอตอนอยู่พัทยา ทว่าสายตาคมปลาบกลับทำให้ใจสั่นหวิว หวั่นเกรงต่ออำนาจที่เขามี ร่างกายสะบัดร้อนสะบัดหนาวแปลกๆ
"พนักงานฝ่ายบัญชีเต็มพอดี"
พูดมั่วไปงั้น..ความจริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตำแหน่งไหนขาดคน บอกไปแบบนั้นเพราะไม่อยากให้เธอทำงานสบายในห้องแอร์ ช่วยไม่ได้ที่เกิดมาเป็นหลานพวกขี้โกง
“หนูไม่อยากทำงานชดใช้แทนน้าหมายค่ะ” เธอยืนยันชัดถ้อยชัดคำ
"รู้ไหมว่าไอ้หมายกับเมียโกงเงินฉันไปสามแสน"
“รู้ค่ะ” ชลิดาพยักหน้า เพราะเพชรได้บอกรายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่อยู่ที่บ้าน
"รู้แล้วก็อย่าทำให้ฉันอารมณ์เสีย"
“หนูไม่มีส่วนรู้เห็นกับเงินที่น้าหมายเอาไป ยังไงก็ไม่อยากชดใช้แทน” หญิงสาวกลั้นใจพูด ยิ่งเห็นรอยยิ้มมุมปากของเขาก็ยิ่งหวาดหวั่น
ชินกับการถูกเพศตรงข้ามโลมเลียด้วยสายตา เคยถูกลวนลามก็บ่อย แต่เอาตัวรอดได้ทุกครั้งจากประสบการณ์ที่เจอมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากแม่ผู้ให้กำเนิดทำงานในคลับที่พัทยา ชลิดาจึงเติบโตท่ามกลางความโสมมแห่งแสงสี คลุกคลีอยู่กับสิ่งอโคจรมาทั้งชีวิต จึงมีภูมิต้านทานด้านจิตใจแข็งแกร่ง
ดีที่แม่รักและพยายามเลี้ยงดูเป็นอย่างดี เท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำได้ ส่งเสียให้เรียนจบปวส. จนมาจากไปด้วยอุบัติเหตุถูกชนแล้วหนีเมื่อปีก่อน เหตุนี้เธอจึงมาอาศัยอยู่กับพุด ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ของแม่
"จะไม่ยอมทำงานว่างั้น?" วิทชธรถามย้ำเสียงเข้ม
"หนูเพิ่งมาอยู่กับน้าพุดแค่ปีเดียว ไม่ได้เป็นหลานรักอย่างที่คุณเข้าใจ วันๆ แทบไม่ได้คุยกัน เพราะต่างคนต่างทำงาน อีกอย่างก็ต้องกินต้องใช้ ถ้าทำงานใช้หนี้ก็อดตายกันพอดี"
ปากเก่งใช่ย่อยนะสาวน้อย..
วิทชธรจ้องเขม็งไปยังริมฝีปากสีสดที่ขยับขึ้นลง ทีแรกก็ดูตื่นกลัว แต่พอรู้ตัวว่าเสียเปรียบ เจ้าหล่อนก็ฉอดๆ ใส่เขาไม่หยุด
"ฉันบอกตอนไหนว่าให้อด ทำงานก็จ่ายเงินเดือน แต่ต้องหักคืนจนกว่าจะครบสามแสน"
"ถูกหักจะเหลือเดือนละกี่บาทกัน หนูต้องจ่ายค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ไหนจะค่ากินอีกละคะ"
ที่ผ่านมารับผิดชอบแค่ค่าน้ำค่าไฟ ส่วนค่าบ้านน้าสาวเป็นคนจ่าย ตอนนี้ทั้งคู่หนีไปภาระทั้งหมดจึงมาตกที่เธอ หากต้องทำงานชลิดาก็อยากต่อรองจำนวนเงินที่ถูกหัก อย่างน้อยขอให้เหลือประทังชีวิตในแต่ละเดือนก็ยังดี
ช่วงนี้ไม่มีงานรับจ้างมาหลายวัน ยื่นใบสมัครตามโรงงานหลายแห่งแต่ยังเงียบ หากเขาเห็นใจให้ทำตำแหน่งเหมาะสมกับวุฒิก็ต้องคว้าไว้ก่อน หรือถ้าโชคดีพุดกับหมายกลับมา เธออาจมีงานทำเป็นหลักแหล่ง ไม่ใช่รับจ้างจิปาถะรายวันอย่างที่ผ่านมา
“ถ้าอยากให้หนูทำงานชดใช้ คุณต้องให้เงินเดือนตามวุฒิ หักใช้หนี้หนึ่งส่วนสี่ของฐานเงินเดือน"
"เรื่องมากจังวะ"
วิทชธรกระแทกลมหายใจ คว้าสมาร์ตโฟนมาถือ ก่อนหมุนเก้าอี้หันหลังให้เธอ พิมพ์ข้อความส่งหาลูกน้องด้วยความเซ็ง
ทำไมต้องทำตามผู้หญิงคนนี้ด้วย ในเมื่อไอ้หมายมันยักยอกเงินเขาไป เห็นทีคงต้องตามล่าสองคนนั้นมาชดใช้เอง ถึงจำนวนเงินไม่มากแต่ไม่อยากปล่อยผ่าน หากไม่ลากคนขี้โกงมาลงโทษ อาจกลายเป็นช่องโหว่ให้คนอื่นทำตาม และไม่ยำเกรงต่ออำนาจของเขา
ส่วนคนที่กำลังฉอดๆ ก็เชิญไปไกลๆ เหนื่อยจะคุยและไร้ประโยชน์!
Wit-Cha: มึงมาพาหลานไอ้หมายออกไปหน่อย
คนหล่อชื่อเพชร: ไหนบอกจะจัดการเอง
Wit-Cha : รีบมาก่อนกูจะไล่มึงออก
คนหล่อชื่อเพชร : ครับๆ
“คุณจะให้หนูทะ..”
"ไม่ต้องแล้ว..จะไปไหนก็ไปเถอะ"
ยังไม่ทันที่ชลิดาจะพูดจบ เขาก็เอ่ยปากไล่เสียก่อน เธอมองพนักเก้าอี้ตัวใหญ่ด้วยสีหน้าจืดเจื่อน นึกเสียดายที่รีบปฏิเสธ ก่อนคิดให้ถี่ถ้วนเรื่องข้อเสนอ
ทำไมโง่อย่างนี้ชลิดา..
"ไอ้เพชรมาแล้วครับ" เพชรเปิดประตูเข้ามาด้วยความรีบเร่ง
"พาออกไป" วิทชธรโบกมือไล่ทั้งที่นั่งหันหลังอยู่ ไม่อยากมองให้เสียตา หุ่นสะบึ้มแต่พูดมาก..น่ารำคาญ!
"เอ่อคือ..หนู" ชลิดายึกยักอ้ำอึ้ง
"อยากกลับบ้านไม่ใช่เหรอก็รีบไปสิ” เพชรเร่งรัดพร้อมกระชากแขนให้หญิงสาวเดินตาม
"ค่ะ"
คนผิดหวังจำยอมออกไปด้วยอาการคอตก ไม่น่าปากไวพูดไม่เข้าหูเขาเลย หากมีสติคิดดีๆ คงได้งานทำไปแล้ว
.
.
.
หลังจากกลับมาชลิดาก็นั่งเหม่ออยู่ในห้องใต้ถุนบ้านเช่า สมองคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบ
"เหลือเงินติดตัวแค่สองพันเอง"
ริมฝีปากรูปกระจับพึมพำ เริ่มเครียดหนักเมื่อนึกถึงจำนวนเงินในตอนไม่มีงานทำ
ถึงชินกับความขัดสนข้นแค้น แต่การสู้เพียงลำพังก็ท้ออยู่ไม่น้อย เมื่อก่อนยังมีแม่คอยปรึกษาหาทางออกด้วยกัน ทว่าตอนนี้ไม่เหลือใคร..ไม่เหลือจริง ๆ
นิ้วเรียวเล็กลูบสร้อยเงินที่มีจี้รูปหัวใจสลักตัวอักษร ‘CP.PJR’ ไม่รู้ความหมายและไม่รู้ที่มาที่ไป แม่แค่บอกว่ามันเป็นสิ่งยืนยันการมีอยู่ของเธอ ส่วนพ่อ..ไม่เคยรู้จักและไม่เคยเห็นหน้าตั้งแต่เกิด
ปังๆ
หญิงสาวสะดุ้งในตอนประตูถูกทุบอยู่ด้านนอก ไม่ต้องดูว่าเป็นใครเธอก็รีบคว้ากระเป๋ามาคล้องไหล่ หยิบเสื้อผ้าและชุดชั้นในยัดใส่ถุงพลาสติก สวมเสื้อแขนยาวก่อนดึงฮูดมาคลุมศีรษะเพื่ออำพรางใบหน้า ค่อยๆ ย่องไปเปิดหน้าต่างจากนั้นก็ปีนออกมา เดินลัดเลาะไปด้านหลัง เพื่อหลีกหนีเจ้าหนี้ของน้าสาว
การหายตัวไปของหมายคงแพร่กระจายไปทั่ว เจ้าหนี้ทั้งหลายเลยร้อนรนออกตามหา เธอจึงกลายเป็นผู้รับกรรม คืนนี้อาจนอนที่บ้านไม่ได้ เพราะหวั่นเกรงความปลอดภัย ถึงเคยถูกทวงหนี้อยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยมีครั้งไหนคนมาเยอะขนาดนี้ ฉะนั้นจึงไว้ใจใครไม่ได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นชายฉกรรจ์ หากพวกนั้นคิดไม่ซื่อเธอคงสู้แรงไม่ได้ หนีไปนอนที่อื่นเป็นดีที่สุด
จากเดินชลิดาก็เปลี่ยนเป็นวิ่ง เมื่อหางตาเหลือบเห็นคนอีกกลุ่มกำลังเดินสวนเข้าไปในซอย ท้องฟ้าจากสดใสก็มืดครึ้มปกคลุมด้วยเมฆ เธอจึงต้องเร่งฝีเท้าเพื่อหาที่หลบฝน
“ดีนะที่ซื้อข้าวทัน”
มือเล็กปัดหยดน้ำออกจากแขนเสื้อคลุม รอยยิ้มแต่งแต้มใบหน้าจิ้มลิ้มเมื่อมองถุงข้าวเหนียวหมูปิ้งในมือ ตอนนี้แค่มีข้าวกินก็บุญเท่าไรแล้ว
หญิงสาวหย่อนสะโพกลงบนที่นั่ง ภายใต้ศาลารอรถใกล้ตลาดสดที่มีคนพลุกพล่าน หากฝนซ่าคงต้องหาห้องพักราคาถูกนอน หรือไม่ก็นั่งอยู่จนกว่าจะมั่นใจ ว่าคนพวกนั้นไม่อยู่แล้ว
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงฝนก็ยังไม่หยุด ทั่วบริเวณตกอยู่ภายใต้แสงสว่างของไฟจราจร เสียงท้องร้องชลิดาจึงหยิบข้าวมากิน เมื่อจัดการมื้อเย็นเสร็จสรรพก็ดื่มน้ำจากขวด ก่อนนั่งมองสายฝนด้วยความสมเพชตัวเอง เธอไร้อนาคตและไร้แก่นสารตั้งแต่แม่จากไป
หนึ่งปีที่ผ่านมาพยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตให้รอดอยู่ทุกวัน แม่ไม่มีสมบัติทิ้งไว้ให้ เธอจึงตัวเปล่าเล่าเปลือย ทำงานรับจ้างรายวันเพื่อเก็บเงินไว้สักก้อน หากเป็นไปได้อยากมีงานประจำทำ แต่ความหวังก็เลือนราง เมื่องานก็ยังหาไม่ได้ ซ้ำยังต้องหนีคนทวงหนี้หัวซุกหัวซุน
ตอนอยู่พัทยามีคนแนะนำให้หาป๋ากระเป๋าหนักเลี้ยงดู เธอควรใช้รูปร่างหน้าตาเพื่อชุบตัวและอัปเกรด ทั้งสดทั้งใหม่อาจมีคนสนใจอยู่บ้าง พูดน่ะมันง่ายแต่ทำน่ะมันยาก เพราะคงไม่มีใครสนใจเด็กกะโปโลเช่นเธอ มารยาก็ไม่มี ประสบการณ์ทางเพศก็เท่ากับศูนย์
ที่สำคัญ..
ชลิดาก้มมองรองเท้าแตะกับเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัดที่ตนใส่แล้วถอนหายใจ มือแห้งกระด้างจากการทำงานหนักนี่อีก ไม่มีส่วนไหนน่าพิศวาสสักนิด หน้าตาจัดว่าธรรมดา ยังดีที่จมูกโด่ง ใบหน้าเรียว ผิวพรรณดีระดับหนึ่งไม่งั้นคงดูไม่จืด
อย่าว่าแต่ป๋าเลย..ผู้ชายทั่วไปยังไม่มีใครจีบเป็นจริงเป็นจังสักคน ไม่รู้เพราะหน้าตาหรือเพราะฐานะทางบ้าน ที่ทำให้โสดมาจนทุกวันนี้
“คิดอะไรเนี่ย”
หญิงสาวยิ้มขมขื่นให้กับชีวิตอันหดหู่
สภาพซอมซ่อดูโทรมอย่างกับคนขาดสารอาหาร คงไม่มีป๋าคนไหนชายตาแล ถ้ามีก็คงเป็นพวกแก่หลงลืม ไม่ก็พิการตาบอดช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หรือไม่ก็คนรวยสมองกลวง ที่เผอิญหน้าตาบ้านๆ อย่างเธอ เกิดไปตรงสเปกเข้าอย่างจัง
มัวคิดเพลินๆ จนไม่เห็นรถสปอร์ตสีดำกำลังตีไฟเลี้ยวเข้ามาจอดเทียบศาลา เธอก้มหน้าแกว่งขาเล่นเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอฝนหยุด ไม่รู้ตัวสักนิดว่าตกอยู่ในสายตาของใครบางคน
“เพชร..มึงขับกระบะมาตลาดสดหน้าอำเภอหน่อยดิ”