ปลายยามเหม่าแสงแดดอ่อนจาง เพ่ยซิ่วอิงมาช่วยสามีเปิดโรงหมอ นางแต่งงานกับโจวเทียนเฉิงตั้งแต่เจ็ดเดือนก่อน เขาเป็นหมอหนุ่มหน้าตาดี รูปร่างบอบบางอย่างบัณฑิต เรือนกายสมส่วนพอมีกล้ามเนื้อ ท่านหมอโจวเย็นเหมือนสายน้ำ พูดน้อยมาก บางวันแทบไม่ได้ยินเสียงเขากล่าววาจาเลยด้วยซ้ำ นอกเสียจากพูดกับคนเจ็บเท่านั้น
โรงหมอของโจวเทียนเฉิงมีคนมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง หมอหนุ่มตั้งใจรักษาคนเจ็บด้วยหัวใจอันสูงส่ง ทุ่มเทให้กับวิชาแพทย์ทุกลมหายใจเข้าออก
เขากำลังวุ่นวายกับการขยายโรงหมอ และอ่านตำราอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อสอบจอหงวน ความฝันสูงสุดของเขาคืออยากเป็นแพทย์หลวง
เพ่ยซิ่วอิงจัดห่อยาเข้าชั้นวางอย่างเรียบร้อย เด็กสาวอายุสิบเจ็ดย่างสิบแปดปีมีทรวดทรงอวบอิ่มเต็มสาวเย้ายวนตา อาภรณ์บางเบาสีขาวนวลเกือบโปร่งแสงยามร่างเล็กเขย่งเท้าขึ้นวางห่อยาบนชั้นเก็บของ แสงส่องทะลุผ่านรูปร่างโค้งเว้าเร้าตัณหา ไม่ว่าผู้ใดได้เห็นก็ยากจะละสายตาจากเรือนร่างทรมานใจบุรุษ
ซิ่วอิงจงใจให้แสงผ่านอาภรณ์ของนาง ให้ทะลุจนแทบเห็นเนื้อใน สาวงามวัยเยาว์จงใจไม่สวมเอี๊ยม อยากให้สามีได้เห็นของดีอย่างเต็มตา
เพียงนึกถึงเรื่องเร่าร้อนบนเตียง เด็กสาวก็ฉ่ำแฉะกลางหว่างขา
สามีของนางดีทุกอย่างยกเว้นไม่ค่อยขยันทำเรื่องบนฟูก เขาอายุเพียงยี่สิบสองปี แต่ทำตนเหมือนนักพรตจำศีล ตั้งแต่แต่งงานกันมาเจ็ดเดือน เขากับนางร่วมหอกันแทบนับครั้งได้
"ท่านพี่..ห่อยานี้เก็บไว้ที่ใดดีเจ้าคะ" เสียงหวานร้องเรียกให้เขาหันมามองอย่างมีจริต
"ไว้ชั้นที่สาม เป็นโสมชั้นดี ราคาแพง เก็บไว้แยกต่างหาก" เขาเงยหน้าขึ้นมามองนางเก็บห่อยา แต่ไม่ได้มองเรือนร่างเร้าตัณหานั้นแม้แต่น้อย
เพ่ยซิ่วอิงเหยียบไปบนตั่งไม้ จงใจเหยียบพลาดจนเซถลาลงมาข้างล่าง
"ว๊ายยยย" ข้อเท้าบอบบางพลิกไปด้านข้าง นางล้มฟุบลงกับพื้น
"ซิ่วอิง เป็นอย่างไรบ้าง" โจวเทียนเฉิงรีบมาประคอง
"ข้าเจ็บข้อเท้าเหลือเกิน" เสียงหวานโอดครวญ เอามือนวดข้อเท้าตนเอง มือเรียวตวัดปัดอาภรณ์ด้านในให้เลิกสูงขึ้นจนเห็นขาอ่อน
"ข้าจะพาเจ้าไปพักผ่อนในห้องนอนก่อน"
"ขอบคุณท่านพี่" ซิ่วอิงเสียดสีเต้านุ่มไปบนแขนสามี ยามเขาอุ้ม นางเอาตัวเบียดซบกับแผ่นอก
โจวเทียนเฉิงวางภรรยาลงบนเตียง เขาเดินฉับไปที่ชั้นวางของในห้อง จัดยาแก้ฟกช้ำให้นางสามเม็ด แพทย์หนุ่มรีบรุดมาที่เตียง หย่อนยาใส่ปากภรรยาตามด้วยน้ำชาให้นางกลืนยาที่เขาจัดให้
ซิ่วอิงเลิ่กลั่ก ..รีบคายยาออกมา ข้อเท้านางไม่ได้เจ็บปวดเสียหน่อย เพียงมารยาเท่านั้นเพื่อล่อสามีเข้าห้องนอน ก็เมื่อคืนเขาขลุกอยู่ในห้องอักษรเกือบยันสว่าง
“เอ่อ ไม่กินยาได้หรือไม่”
“ไม่ได้ เจ้าเจ็บข้อเท้า กินยาแล้วจะหายเร็วกว่า”
“เราไม่ได้ร่วมหอกันนานเพียงใดแล้ว” ดวงตากลมโตช้อนมองอย่างยั่วยวน
“ข้าจำไม่ได้เช่นกัน”
“ท่านพี่ไม่อยากสัมผัสข้าบ้างหรือ” มือน้อยเริ่มไล้ลูบไปตามแผ่นอก ล้วงเข้าเสื้อตัวใน ลูบแผงอกสามีเบา ๆ
“ช่วงนี้ข้าค่อนข้างยุ่งมาก ทั้งงานขยายโรงหมอ ทั้งอ่านตำราอย่างหามรุ่งหามค่ำ”
“ข้างดงามไม่แพ้สตรีใด ท่านไม่มีอารมณ์บ้างรึเจ้าคะ” ว่าแล้วก็รุกต่อ มือเล็กคืบคลานต่ำลงไปยังสายรัดเอวของสามี
“ข้านัดคหบดีเผิงเอาไว้ ต้องจัดยาบำรุงกำหนัดให้กับเขาตามกำหนด รายได้งามเชียวล่ะ แล้วคืนนี้ข้าจะไม่บิดพลิ้ว สนองให้เจ้าอย่างถึงใจ” โจวเทียนเฉิงหยุดมือน้อยเอาไว้ หมอหนุ่มนัดจัดยาให้คนไข้ เวลาของเขาเป็นเงินเป็นทอง เขารีบจัดอาภรณ์ให้เข้าที่แล้วเดินฉับออกไปภายนอก
“อย่าผิดคำพูดกับข้าเชียว” เพ่ยซิ่วอิงหน้างอง้ำ
โจวเทียนเฉิงขยันแต่จัดยาโป๊วให้กับคหบดีมะเขือเผา ช่วยรักษาบุรุษหย่อนสมรรถภาพทางเพศให้กลับมาใช้งานแก่นกายได้เหมือนพลิกชีวิต
เขาควรจัดยาบำรุงกำหนัดให้ตนเองเสียบ้าง!!!
เด็กสาวรู้สึกร้อนรุ่ม หงุดหงิด แต่จะทำอย่างไรได้เมื่อนางกล้าเสนอแต่สามีกลับไม่สนอง
หลังจากช่วยงานจัดห่อยายามเช้า ซิ่วอิงก็ไม่มีอะไรทำมากนัก โรงหมอแห่งนี้มีสาวใช้สี่คน บ่าวชายอีกสองคน หากไม่นับความขาดแคลนเรื่องบนเตียง เรื่องอื่นคือไม่ขัดสน กินใช้อยู่ได้อย่างสะดวกสบาย โจวเทียนเฉิงไม่ใช่คนตระหนี่ ..อ่อ เขาตระหนี่เฉพาะน้ำพิสุทธิ์เท่านั้น เพราะไม่ค่อยใช้งานอวัยวะแห่งชายกลางลำตัว
เฮ้อ!! เสียงถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ซิ่วอิงจัดอาภรณ์ให้เข้าที่ อุตส่าห์ไม่สวมเอี๊ยมทั้งบนล่างเพื่อเปิดทางสะดวกให้สามี แต่เขากลับไม่แตะต้องนาง อยากรู้นักว่าบุรุษวัยฉกรรจ์คนอื่นจะตายด้านเหมือนสามีนางไหม คิดแล้วก็รู้สึกห่อเหี่ยวหัวใจและเรือนกาย
ซิ่วอิงเปิดตู้เสื้อผ้าไม้แกะสลัก เห็นชุดแต่งงานของตนเองแล้วถอนหายใจออกมาอีกเฮือกหนึ่ง นางกับโจวเทียนเฉิงแต่งกันเพราะความเห็นชอบของผู้ใหญ่
ไม่ได้แต่งเพราะความรัก
เมื่อแต่งให้เขาแล้วซิ่วอิงก็อยากทำหน้าที่ภรรยาให้ดี โดยเฉพาะหน้าที่บนเตียง หลังจากเข้าหอ นางรู้ดีว่าตนเองมีความต้องการสูง เรื่องชายหญิงช่างเสียวซ่านน่ารื่นรมย์ แต่สามีของนางกลับสนใจเรื่องอื่นเป็นหลัก ครั้นจะทวงถามมากครั้งก็คิดละอาย กลัวเขาคิดว่าวัน ๆ นางเอาแต่คิดเรื่องใต้สะดือ
สายตาพลันเหลือบไปเห็นจดหมายจากสกุลเว่ยที่มารดาของนางส่งมาเมื่อสองวันก่อน เพ่ยซิ่วอิงนึกขึ้นได้ว่าวันนี้จะมีการรวมญาติครั้งใหญ่ของสกุลเว่ย
มารดาของซิ่วอิงแต่งงานใหม่กับเถ้าแก่โรงผ้าแซ่เว่ยนามว่าเว่ยจาง
เว่ยจางมีบุตรชายผู้หนึ่งนามว่าเว่ยถิงฟง อายุยี่สิบแปดปี ตามศักดิ์คือเป็นพี่ชายของซิ่วอิงแต่นางไม่ได้พบเขาราวสิบปีแล้ว เขาไปฝึกทหารในหน่วยรบแดนใต้ รับตำแหน่งหัวหน้ากองธงเพลิงตั้งแต่อายุเพียงสิบแปด บัดนี้สิบปีผ่านไปเขาได้ขึ้นตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงรองแม่ทัพแห่งวังหลวง ไม่รู้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เพราะครั้งสุดท้ายที่พบพี่ชายต่างสายเลือด นางอายุเพียงเจ็ดแปดขวบเท่านั้น
ได้ข่าวว่างานรวมญาติครั้งนี้ เว่ยถิงฟงจะกลับมาร่วมงานด้วย ซึ่งพ่อเลี้ยงของนางคือเว่ยจางดีใจมากจนถึงกับจ้างคณะงิ้วกับนางระบำมาแสดงที่สกุลเว่ยเพื่อต้อนรับบุตรชายคนเดียว
เพ่ยซิ่วอิงชั่งใจระหว่างไปร่วมงานกับรอร่วมหอกับสามีในตอนเย็น ...
คิดแล้วคิดอีกว่าจะอยู่หรือไป แต่ในที่สุดเด็กสาวก็นึกถึงภาพสามีมักนอนหลับในห้องอักษร ไม่ไยดีเรื่องชายหญิงถึงเพียงนั้น ...การไปร่วมงานรวมญาติของสกุลเว่ยอาจสนุกกว่า ซิ่วอิงรีบแต่งกายให้งดงามที่สุดเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ่