หากแต่เมื่อได้รับหนังสือหย่าหวงเสี่ยวฉีก็ตรองดูแล้วว่าไม่มีความจำเป็นต้องเฝ้านางอีก จริงๆ แล้วหนังสือหย่าฉบับนี้ไม่มีประโยชน์อันใดเลย
นางคงเสียความทรงจำทั้งหมดไปแล้วจริงๆ เขาเพียงต้องการทดสอบดูว่าท่าทีของนางเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเสแสร้ง ข้อสงสัยในตัวของ เหอลี่หมิงหมดลง แต่ก่อนที่เขาจะออกไปจากเรือนทิศตะวันออก เขาสบตากับนางอีกครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงกึ่งทางการ
“หากเจ้าต้องการไปเคารพบิดาของเจ้า แม้ว่าจะเหลือเพียงเถ้าถ่านให้เห็นต่างหน้า ข้าจะให้ชุ่ยเวยเป็นธุระนำเจ้าไป”
เหอลี่หมิงช้อนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า แววตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ชวนให้ผู้คนที่ได้พบเห็นรู้สึกเห็นใจนางอยู่ไม่น้อย หวงเสี่ยวฉีมิอาจปฏิเสธได้ว่าตัวเขาเองก็คิดเช่นนั้น หากแต่ยังคงสงวนท่าทีไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเย็นชา
“มิใช่ว่าท่านกำลัง...”
ท่าทีอึกอักของนางทำให้คิ้วหนาที่พาดเหนือดวงตาเรียวรีถูกยกขึ้นสูงทั้งสองข้าง นัยน์ตาของเขากำลังฉายแววใคร่รู้ต่อทีท่าของนาง แต่ก็เป็นเพียงแวบหนึ่ง
“เจ้าจะพูดอะไร”
เขาเห็นนางผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ดวงตากลมโตสุกใสยังคงจ้องมองมาที่เขา
“มิใช่ว่าท่านกำลังหาทางขับไล่ข้าออกจากเรือนหรอกหรือ เป็นเช่นนั้นใช่หรือไม่”
ในน้ำเสียงนั้นมีแววตัดพ้อซ่อนอยู่อย่างมิอาจปิดบัง นางยอมลงนามในหนังสือหย่าแล้ว เหตุใดเขาจึงได้หาทางขับไล่นางออกจากเรือนอีกเล่า นางแค่ขอเวลาอีกสักหน่อย แล้วจะไม่ปล่อยตัวเองให้เป็นภาระ แต่เขากำลังจะขับไล่นาง นั่นคือสิ่งที่อยู่ในหัวของเหอลี่หมิง หากแต่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น
“หาใช่เช่นนั้นไม่ ข้าเพียงแต่เห็นว่าเจ้าควรไปเคารพบุพการีของเจ้า จริงอยู่ที่ตอนนี้เจ้าลืมเลือนอดีตที่ผ่านมา จำมิได้แม้กระทั่งคนร่วมสกุลเดียวกันกับเจ้า แม้แต่บิดาผู้ให้กำเนิดเจ้าก็จำมิได้ หากแต่เจ้าก็มิอาจปฏิเสธได้ว่าเจ้าเป็นบุตรีของคหบดีเหอ หากเจ้าไม่ต้องการขึ้นชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู เจ้าก็ควรจะไป”
แววตาหวาดหวั่นแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่กำลังรู้สึกผิดอย่างน่าเห็นใจ สิ่งที่ออกมาจากปากของหวงเสี่ยวฉีเป็นจริงอยู่หลายส่วน เพียงแต่เขามิรู้ว่านางมิได้ลืมเลือนอดีตอย่างที่จำเป็นต้องกล่าวอ้างเพื่อความอยู่รอด ทว่านางมาจากอีกมิติหนึ่ง แต่ก็นั่นละ เรื่องเช่นนั้นนางมิอาจบอกใครได้ มีแต่จะกลายเป็นคนสติฟั่นเฟือนเสียมากกว่า อย่างน้อยนางควรต้องไปเคารพบิดาของเหอลี่หมิง เพื่อมิให้เป็นการสร้างความรู้สึกประหลาดใจให้แก่ผู้ที่พบเห็นว่าเหตุใดนางจึงละเลยเรื่องที่สมควรอย่างยิ่งเช่นนี้ อีกอย่างก็คือนางต้องการขอบคุณที่ได้อาศัยร่างนี้ แม้ว่าจะไม่รู้ที่มาที่ไปว่าเกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร แต่อย่างน้อยนางก็ได้มีลมหายใจต่อไปอีก เหตุการณ์ในวันข้างหน้านั้นจะเป็นเช่นไร ก็ขอให้เป็นลิขิตฟ้า อาญาสวรรค์
“ข้าเข้าใจแล้ว ต้องขออภัยที่ข้าเข้าใจท่านผิดไป”
เหอลี่หมิงค้อมศีรษะลงต่ำเป็นการขออภัย แววตาแข็งกร้าวที่เคยใช้มองนางดูอ่อนโยนลงหลายส่วน ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนของนางทำให้หวงเสี่ยวฉีอดที่จะรู้สึกเอ็นดูนางขึ้นมามิได้ หากแต่ก็เพียงแวบหนึ่งความรู้สึกนั้นก็ปลิวไปราวกับว่ามิเคยเกิดขึ้นมาก่อน
“เอาเถอะ ข้ามิได้ถือสาหาความ หากเจ้าต้องการเดินทางไปเคารพบิดาก็ให้แจ้งชุ่ยเวยได้ทันที”
เหอลี่หมิงยกศีรษะขึ้นเมื่อหวงเสี่ยวฉีมิได้ถือสาหาความ สายตาของนางมองไปที่จินชุ่ยเวยที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังของหวงเสี่ยวฉี ท่าทีค้อมศีรษะลงหนึ่งครั้งก่อนจะยกศีรษะขึ้นแล้วสบสายตากัน ทำให้นางทราบว่าจินชุ่ยเวยเต็มใจที่จะเป็นธุระจัดการในเรื่องนี้ จากนั้นจึงดึงสายตามาที่บุรุษผู้มีใบหน้างดงามอย่างน่าอิจฉา ในใจของนางพลางคิดว่ามนุษย์โบราณผู้นี้มีจิตใจงดงามอยู่ไม่น้อย เมื่อคิดแบบนั้นรอยยิ้มสดใสจึงผุดขึ้นที่มุมปากเรียวเล็ก ทอดสายตามองเขาหวานเชื่อม พาให้คนที่จ้องมองอยู่ก่อนเกิดความเคลือบแคลงใจ
“เหตุใดเจ้าจึงยิ้ม และมองข้าราวกับต้องการจะกลืนกินเช่นนั้นเล่า”
นางแสดงสีหน้าเลิ่กลั่กทันทีที่ได้ยินประโยคดังกล่าว ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ไม่รู้ตัวเลยว่าแสดงกิริยาแบบนั้นออกไป ให้ตายเถอะ เหตุใดนางจึงรู้สึกยินดีกับความเมตตาเล็กๆ น้อยๆ ที่เขามอบให้ เหตุใดนางจึงรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกอบอุ่นใจไปในคราวเดียวกัน เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำเรื่องขายหน้า นางจึงแกล้งกระแอมในลำคอเบาๆ
“ขออภัยที่ข้าเผลอทำกิริยาที่ไม่สมควรออกไป”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงเผลอทำกิริยาเช่นนั้นเล่า”
หวงเสี่ยวฉีแสดงความใคร่รู้อย่างเปิดเผย ดวงตาล้ำลึกจ้องมองนางอย่างคาดคั้น ดวงตากลมโตของเหอลี่หมิงวูบไหว มองบุรุษตรงหน้าอย่างพิจารณา เห็นทีหากนางมิยอมให้คำตอบ เขาเองก็คงมิยอมถอยแน่
“คือว่าข้า...”
“หืม...”
“ข้า...”
จังหวะที่เหอลี่หมิงกำลังจะให้คำตอบ เซี่ยเถิงเกาก็เข้ามาด้วยท่าทางนอบน้อม สาวใช้หยุดเท้าตรงหน้าหวงเสี่ยวฉี
“ขออภัยเจ้าค่ะคุณชาย”
หวงเสี่ยวฉียอมละสายตาจากการคาดคั้นเหอลี่หมิงแวบหนึ่ง แล้วหันมาเอ่ยกับสาวใช้
“มีเหตุอันใด”
“คือว่า...ฮูหยินมารอพบคุณชายอยู่หน้าเรือนเจ้าค่ะ”
น้ำเสียงที่เซี่ยเถิงเกาเอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความลำบากใจ แต่สิ่งที่ได้รับรู้ทำให้หัวคิ้วของหวงเสี่ยวฉีย่นเข้าหากัน ส่วนเหอลี่หมิงนั้นแสดงสีหน้าตื่นตระหนก แววตาของนางอัดแน่นไปด้วยความกังวล ฮูหยินที่เซี่ยเถิงเกากล่าวถึงคงจะเป็นฮูหยินหวง มารดาของหวงเสี่ยวฉีอย่างมิต้องสงสัย แต่ที่ทำให้นางรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงนั่นเป็นเพราะเซี่ยเถิงเกาเคยเล่าว่าถ้าไม่มีเรื่องร้ายแรงอันใด ฮูหยินหวงจะไม่มีทางมาเหยียบเรือนทิศตะวันออกเป็นอันขาด นั่นเพราะความเกลียดชังที่มีต่อเหอลี่หมิง แต่ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องที่ ทำให้ฮูหยินหวงเกลียดชังเหอลี่หมิง แม้แต่การที่คนอื่นๆ พากันมอบความเกลียดชังให้ต่างก็ไม่มีใครเอ่ยถึง แม้จะมิใช่เหอลี่หมิงตัวจริง แต่การที่ต้องอาศัยร่างนี้อยู่ก็มิอาจเพิกเฉยต่อความวิตกกังวลนั้นได้
“ข้าจะออกไปพบท่านแม่”
หวงเสี่ยวฉีปรายตามองเหอลี่หมิงแวบหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าออกไปโดยมีจินชุ่ยเวยสาวเท้าตามไปไม่ห่าง ตอนนี้จึงเหลือเพียงเหอลี่หมิงกับเซี่ยเถิงเกา เหอลี่หมิงจึงหันไปถามเซี่ยเถิงเกาเชิงขอความเห็น
“เถิงเกา ข้าจำเป็นต้องออกไปพบฮูหยินด้วยหรือไม่”
เซี่ยเถิงเกายกสายตาขึ้นมองเหอลี่หมิงแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบอย่างนอบน้อม
“ข้าคิดว่าคุณหนูควรไปเจ้าค่ะ”
เหอลี่หมิงถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ในอกของนางหนักอึ้งราวกับมีใครมาถ่วงหินก้อนใหญ่เอาไว้ แต่ถึงกระนั้น นางจำต้องสาวเท้าออกไปหน้าเรือนอย่างไร้หนทาง ในใจพลางคาดหวัง
หากฮูหยินหวงรู้ว่านางหย่าขาดจากบุตรชายคนเล็กของสกุลหวงแล้ว ฮูหยินหวงอาจจะมอบความเมตตามาให้บ้างก็เป็นได้ แต่แม้หากมิได้รับความเมตตา ก็ขออย่าเพิ่งขับไล่นางออกจากเรือนในตอนนี้เลย นางไม่รู้จะไปที่ใดจริงๆ