10. ยืมมือผู้อื่นปกป้อง

1717 Words
หลังจากทานอาหารกันแล้วเสร็จ ทั้งสามก็ออกมานั่งเล่นกันที่หน้าเรือน ซึ่งเป็นสวนขนาดกว้างอยู่พอสมควร “ที่นี่ดีกว่าเรือนหลังนั้นอีกนะเจ้าคะ” ลี่อันมองไปโดยรอบพร้อมกับยิ้มกริ่ม มือไม้ก็ชี้ไปเรื่อยให้ผู้เป็นนายและสหายมองตาม โดยเฉพาะทิวทัศน์ด้านบนที่กำลังทอแสงระยิบระยับน่าหลงใหล “ชอบล่ะสิ” หลันถิงกล่าวเย้า “ชอบมากเจ้าค่ะ อยากกินอะไรก็ได้กิน” สาวใช้เผยยิ้มเต็มดวงหน้า บ่งบอกให้รู้ว่ามันเป็นอย่างที่นางได้กล่าวจริง ๆ “เจ้ามันเห็นแก่กินชิงชิว” ลี่อันยื่นมือออกมาดันไหล่สหายทันที เสียงหัวเราะชอบใจของทั้งสามจึงดังขึ้นแข่งกัน โดยไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครกำลังมองอยู่บนหลังคากำแพง ทว่าเขาอยู่ตรงนั้นไม่นานก็เหาะเหินลงไปด้านล่าง ซึ่งมันอยู่คนละฝั่งกับสตรีทั้งสามนางพักอาศัย เพื่อรายงานให้ผู้เป็นนายรู้ “สตรีหรือ? มีสตรีมาพักอาศัยข้างจวน” จือโม่ องครักษ์หนุ่มวัยยี่สิบสองเอ่ยถามสหายที่ดีดตัวขึ้นไปสำรวจบนกำแพง เพราะพวกเขาได้ยินเสียงคนพูดคุยกันในขณะที่ผู้เป็นนายกำลังฝึกดาบ “ใช่ ดูแล้วคงไม่มีพิษมีภัยอันใดพ่ะย่ะค่ะ” สือเฟิงกล่าวต่อ “อย่างไรก็อย่าประมาท ได้ยินว่าคนต่างแดนมักใช้สตรีเป็นสาย การที่พวกนางกล้ามาอยู่เพียงลำพัง ย่อมไม่น่าไว้ใจ” ผู้ที่กวัดแกว่งดาบเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบ แววตาคมกริบยังคงสนใจคู่ต่อสู้ของตน ทว่าหูก็ฟังคำรายงานจากองครักษ์คนสนิทไปด้วย “กระหม่อมจะให้คนของเราเฝ้าดูพวกนางพ่ะย่ะค่ะ” รับคำแล้วสือเฟิงก็ถอยออกมายืนข้างสหาย อีกฝ่ายจึงกระซิบถามทันที “พวกนางงามหรือไม่” จือโม่ยิ้มกริ่ม “ไม่รู้ ข้าเห็นไม่ชัด อีกอย่างนี่มันก็กลางคืนใครจะไปรู้ว่างามหรือไม่งาม อยากรู้ก็ไปดูเองสิ” สหายตอบอย่างรำคาญ “ชิ! สืบแค่นี้ก็ไม่ได้เรื่อง” องครักษ์หนุ่มเชิดหน้าใส่สหายทันที ก่อนจะรีบยิ้มแหยเมื่อเห็นสายตาผู้เป็นนาย “ส่งคนตรวจสอบภูมิหลังของพวกนาง อีกสองวันจะต้องพาท่านทูตออกมาเดินเที่ยว ข้าไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดอันใด” “พ่ะย่ะค่ะ” รับคำเสียงหนักแน่นพร้อมเพรียง จากนั้นเจ้าของจวนก็มองขึ้นไปยังฝั่งกำแพง เขายืนอยู่ครู่หนึ่งราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่าง ทว่าไม่นานก็เลิกใส่ใจ หันมาฟันดาบต่อ ซึ่งปกติเขาก็ทำเช่นนี้อยู่เป็นประจำทุกค่ำคืน เช้าของวันใหม่…. สตรีทั้งสามนางก็ยังตื่นแต่เช้าเหมือนเช่นเคย เมื่อทำธุระแล้วเสร็จพวกนางก็พากันออกไปหาทำเลค้าขายอย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ทว่าเดินจนเมื่อยล้าก็ยังหาที่เหมาะ ๆ ไม่ได้ “เถ้าแก่ขอชาด้วย” ลี่อันตะโกนสั่ง ก่อนที่พวกนางจะนั่งล้อมวงกันที่ร้านชาข้างทาง แววตาบ่งบอกถึงความผิดหวัง “ไม่ง่ายเลยนะเจ้าคะ” ชิงชิวเอ่ยเสียงท้อแท้ “ที่นี่เมืองหลวง ย่อมหาที่ค้าขายยากอยู่แล้ว” หลันถิงเอ่ยอย่างเข้าใจ ก่อนจะมองผ่านสาวใช้ของตนไปยังร่างสูงที่ทำทีเดินเลือกซื้อของอยู่ไม่ไกลจากร้านชาที่พวกนางนั่ง “แล้วเช่นนี้เราจะหาเงินจากที่ไหนกันเจ้าคะ” ลี่อันถาม “ไม่ต้องกลัว ข้ามีวิธีหาเงินเยอะแยะ” แม้จะเอ่ยกับคนของตน ทว่าสายตานางยังคงจับจ้องไปที่ชายคนเดิม ทว่าไม่นานมันก็เปลี่ยนไปยังกลุ่มคนที่กำลังเดินตรงมาหาพวกนาง ‘หากเดาไม่ผิด คนกลุ่มนี้คงเป็นคนของจ้าวเสวี่ยอี้ เขารู้แล้วสินะว่าเราหนีออกมา’ “ฮูหยิน ใต้เท้าให้มาเชิญท่านกลับจวนขอรับ” ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทันทีที่เดินมาหยุดข้างนาง ท่าทางดูอ่อนน้อมมาก “ข้าไม่กลับ บอกเขาถ้าไม่อยากขายหน้าก็อย่ามายุ่งกับข้า” “มะ… ไม่ได้นะขอรับ หากท่านไม่ไปกับพวกเรา พวกเราจะถูกโบยสามสิบไม้ ฮูหยินได้โปรดเมตตาด้วยขอรับ” หลันถิงนิ่งงันไปครู่หนึ่งและค้างมือที่ยกถ้วยน้ำชาเอาไว้ที่ปาก นางนึกไม่ถึงว่าผู้เป็นสามีจะกล้าเอาชีวิตคนอื่นมาบีบบังคับกันเช่นนี้ ทว่าในเมื่อเขาใจดำได้ มีหรือคนเช่นนางจะใจดำไม่ได้ “นั่นมันเป็นเรื่องของพวกเจ้า ถือว่ารับใช้ผิดคนไปก็แล้วกัน” สิ้นคำนางก็ลุกขึ้นก่อนจะเดินหนีไปยังทางที่ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ “เจ้าเป็นคนของใคร ตามพวกเรามาทำไม” นางถามเขาทันที ทำเอาจื่อโม่ถึงกับหน้าหรา เพราะไม่คิดว่าตนจะถูกจับได้ “เอ่อ… ข้าเปล่านะ” “เปล่าหรือ เจ้าตามเรามาตั้งแต่ตรอกชุยเซียง จนมาถึงที่นี่ยังบอกว่าเปล่าอีกหรือ กลับไปบอกจ้าวเสวี่ยอี้ว่าข้าไม่มีทางกลับไปจวนสกลุลจ้าวอีก หากยังไม่ยอมรามือ ข้าจะนำเรื่องไปฟ้องศาล” “ขะ… ข้าไม่รู้จักคนที่เจ้าพูดถึง ข้าแค่มาซื้อของให้ภรรยา” จื่อโม่รีบแก้ตัวทันที ซึ่งมันไม่ได้ทำให้สตรีตรงหน้าเชื่อเลย “คุณหนูเขาอาจจะมาซื้อของให้ภรรยาจริง ๆ ก็ได้นะเจ้าคะ” ชิงชิวกล่าวพร้อมกับรั้งแขนผู้เป็นนายให้ถอยห่าง “ซื้อของอะไร ในมือไม่เห็นมีอะไรสักอย่าง ถ้าเจ้ายังตามพวกเรามาอีกนะ ข้าจะแจ้งทางการเลยคอยดู” ลี่อันกล่าวจบก็ใช้มือผลักไหล่อีกฝ่ายที่ไม่ทันตั้งตัวจนเซ ก่อนจะคว้าแขนผู้เป็นนายเดินจากไป ทิ้งองครักษ์หนุ่มยืนหน้าหราอยู่พักหนึ่ง ตั้งแต่เด็กจนโตทำงานในจวนอ๋องมา เขายังไม่เคยถูกใครจับได้เลย เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงมองออกว่าเขาตามนาง ทั้งที่เขาก็ทำตัวกลมกลืนกับผู้คน แต่งกายด้วยชุดธรรมดาไม่ได้ต่างอะไรเลย ชายหนุ่มกะพริบตาถี่ มองตามร่างของสตรีที่มีหมวกแพรปิดบังใบหน้าอย่างฉงน กระทั่งสหายเดินเข้ามาวางมือที่ไหล่จึงได้สติ “ข้าทำอันใดผิดพลาดกัน” พึมพำอย่างกับคนสูญเสียตัวตน “ผิดที่นางฉลาดกว่าเจ้า ว่าแต่นางกล่าวอะไรกับเจ้าหรือ” สือเฟิงเอ่ยถาม เพราะเห็นนางยืนคุยกับสหายอยู่พักหนึ่ง “นางกล่าวหาข้า บอกว่าเป็นคนของจ้าวเสวี่ยอี้ แล้วคนผู้นี้เป็นใครกัน?” จือโม่หันมาถามสหายที่น่าจะรู้จักคนมากกว่าตน “หัวหน้ากรมพิธีการ พึ่งได้รับตำแหน่งยังไม่ถึงสองปี เจ้าไม่รู้จักก็ไม่แปลกหรอก ได้ยินว่าเขาไม่ใช่คนเมืองหลวงแต่กำเนิด” “อย่างนี้เอง ว่าแต่เหตุใดนางคิดว่าข้าเป็นคนของจ้าวเสวี่ยอี้เล่า ข้าก็เดินอยู่คนเดียวมิได้มาเป็นกลุ่มเหมือนพวกนั้นเสียหน่อย” “หึ!” สือเฟิงส่งเสียงในลำคอเมื่อรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของสตรีนางนี้แล้ว “ข้าจะกลับไปรายงานท่านอ๋อง เจ้าหาคนใหม่ตามพวกนางไปก็แล้วกัน ทำตัวให้กลมกลืนอย่าให้ถูกจับได้อีกล่ะ” สิ้นคำเขาก็เดินจากไป ทิ้งให้สหายยืนมึนงงเช่นเคย สองเค่อต่อมา [สามสิบนาที] ด้านจ้าวเสวี่ยอี้… เมื่อได้รับรายงานจากคนของตน เขาก็มุ่งหน้ามาที่เรือนของภรรยาหมายจะพูดคุยกับนางให้เข้าใจ ทว่ายังไม่ทันถึงสองเท้าก็ต้องหยุดลงก่อน เพราะถนนนี้เป็นที่พำนักของผู้สูงศักดิ์ “เจ้าเลือกที่นี่เพื่อไม่ให้ข้าเข้าใกล้สินะ” เสวี่ยอี้นึกชมภรรยาของตนที่ฉลาดคิดเกินใคร แม้แต่ที่อยู่ใหม่นางยังเลือกจุดที่ปลอดภัยที่สุด อยู่ใกล้จวนอ๋อง แน่นอนว่าเขาต้องไม่กล้าเข้าไปตอแยกับนาง “ทำอย่างไรดีขอรับ” กั่วหลิงหันมองผู้เป็นนายที่ยืนนิ่ง “ท่านอ๋องเป็นคนระวังตัวมาก มีคนย้ายมาอยู่ติดจวนจะต้องส่งคนมาตามดูพวกนางแน่ หากเราเข้าไปในยามนี้อาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ เอาไว้พบนางด้านนอกค่อยพาตัวกลับจวน อย่าเสี่ยงให้เกิดปัญหาในภายหน้า ข้าไม่อยากให้ฉินอ๋องหันมาเพ่งเล็ง” เสวี่ยอี้ยืนมองหน้าเรือนของภรรยาครู่หนึ่งก็หมุนตัวเดินจากไป โดยมีสายตาของคนกลุ่มหนึ่งมองตามจนลับตา… “ดูเหมือนสตรีในเรือนนั้นจะเป็นคนที่จ้าวเสวี่ยอี้รู้จักจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ทว่าเหตุใดเขาไม่เข้าไป” สือเฟิงเอ่ยในสิ่งที่ตนสงสัย “หรือเขาแอบเลี้ยงนางไว้อย่างลับ ๆ ทว่านางหนีออกมา เขาเลยไม่อยากให้ผู้ใดรู้” จือโม่รีบกล่าวในสิ่งที่ตนกำลังคิด ผู้เป็นนายจึงเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยสั่งเสียงเรียบเย็นชา “ไปสืบมาให้แน่ชัด ว่าสองคนนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร” สิ้นคำสั่งฉินอ๋องก็เดินกลับเข้าจวน ถึงกระนั้นสายตาเขาก็ไม่ลืมที่จะเหลือบมองไปยังประตูเรือนที่ห่างออกไปหกสิบจั้ง [สองร้อยเมตร] สตรีที่ทำให้ขุนนางมากความรู้อย่างจ้าวเสวี่ยอี้ตามหาได้ นางต้องไม่ธรรมดาแน่ มากไปกว่านั้นคือ เขาได้ยินว่าหลานสาวเพียงคนเดียว กำลังพึงใจในตัวใต้เท้าหนุ่มผู้นี้ จนต้องหาเรื่องออกจากจวนทุกวัน การที่เขาให้คนสืบก็ถือว่าช่วยเป็นหูเป็นตาให้พี่สาวไปด้วย #กดใจ คอมเม้นเป็นกำลังใจให้ไรท์ด้วยนะคะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD