เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง เขากลับมาพร้อมกับอาหารขึ้นชื่อของหัวหินหลายอย่าง จึงซื้อมาเยอะ ๆ เพราะคิดว่าคืนนี้ต้องใช้พลังงานอีกมากกว่าจะทำให้เธอยอมตกลงให้ได้
เสียงไขกุญแจปลุกให้ร่างที่หลับมาสักพักตื่นขึ้น ความงัวเงียทำให้ขยี้ตามองให้ชัดว่าใคร แต่เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามา ร่างที่เป็นเงาตะคุ่มทำให้เธอตกใจสุดขีด
“ว้ายยย! ผี”
“ไม่ใช่...ผี...ผัวเองครับ” เขาพูดแล้วก็ปิดประตูลงพร้อมกับเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟ หลังจากนั้นจึงวางอาหารลงบนโต๊ะที่จัดเป็นที่นั่งทานอาหารง่าย ๆ โดยมีจานชามวางตั้งอยู่
“ยังไม่กลับอีก” เธอหรี่ตามองเขาอย่างเบื่อหน่าย
“จนกว่าจะได้คุณไปแต่งงานผมไม่ยอมกลับแน่นอน” เขามีเวลาไม่มากนัก หากครั้งนี้มาแล้วก็ต้องให้ได้ตามที่ตัวเองวางแผนไว้
ในเมื่อพ่ออยากให้เขามีเมียจนใจจะขาด เขาก็จะทำและพ่อก็ยอมรับให้ได้แล้วกันเมื่อถึงเวลาที่ต้องหย่า
“อะไรของคุณ” เธอยกมือขึ้นยีหัว ตอนนี้เหมือน
ไมเกรนจะขึ้นอยู่รอมร่อ เพราะว่าเขาเอาแต่ตามตื้อไม่เลิกราเสียที
“กินก่อน แล้วคุยกัน คุยจบแล้วผมจะไป” เขาว่าพลางจัดจานให้เธอและเขาเอง เพราะมัวแต่เฝ้าเธอยังไม่ได้กินอะไรตั้งแต่บ่ายแล้ว
เทียนไขลุกขึ้นมาตักข้าวเข้าปากคำแล้วคำเล่า โดยไม่รับรู้รสชาติ เพียงคิดแค่กินให้หมดเขาจะได้เลิกตามตอแยสักที
เขาเห็นเธอกินเอากินเอาก็ตกใจ ผู้หญิงอะไรจะเรียลขนาดไม่ไว้ท่าต่อหน้าผู้ชายเลยอย่างนั้นเหรอ
“หิวเหรอ”
“เบื่อขี้หน้าคุณ ฉันอิ่มแล้วคุณมีอะไรจะพูดก็รีบ ๆ พูดมาฉันจะนอน”
ชายหนุ่มนั่งพิงเก้าอี้กอดอกเหมือนกำลังเจรจา โดยที่ท่าทางเขานั้นแสดงให้รู้ว่า กำลังปกป้องผลประโยชน์ตัวเองอยู่
“ผมได้ยินว่าคุณต้องการเงิน” เสียงเข้มเข้าประเด็นไม่อ้อมค้อม เพราะเขาก็อยากปิดดีลแล้วเหมือนกัน
เมื่อพ่อต้องการ ลูกที่น่ารักอย่างเขาก็ต้องทำให้ได้ และผลประโยชน์ที่ได้นั้นคุ้มค่ากับการลงทุน
“ใช่...คุณรู้ได้ไง” เทียนไขประเมินเขาต่ำไปจริง ๆ เขาสืบเรื่องราวเธอมาทั้งหมดก่อนแล้ว และคิดว่าแม่เพื่อนตัวดีของเธอที่เป็นแหล่งข่าว
“ผมคือว่าที่สามี จะไม่รู้ใจภรรยาได้อย่างไร ขนาดกางเกงในคุณชอบใส่สีอะไรผมยังรู้” เขากล่าวให้ดูเกินจริง แต่ทำเหมือนว่าทำเธอจะตกใจอยู่ไม่น้อย
“ถ้าคุณรู้ว่าฉันชอบใส่สีอะไรแสดงว่าคุณก็รู้ว่าฉันโนบาร์ตอนนอน!”
“....” สาบานว่าไม่รู้ ยายมัทไม่ได้บอก แต่ไม่รู้ทำไมต้องกลืนน้ำลายเหนียวคอ แล้วภาพวันนั้นที่เขาจับหน้าอกยายคุณหมอปากหมาก็เหมือนเป็นภาพยนต์กำลังฉายในหัว แววตาฉ่ำมองจ้องไปตรงเนินอกนั้นอย่างห้ามไม่ได้
“เอ่อ...เรื่องนั้น”
“ไอ้ลามก” เทียนไขหมายจะเอาส้อมจิ้มตาเขา แต่ก็โดนมือหนาคว้าไว้ก่อน
“อย่าเล่นบ้า ๆ ตาบอดเลยนะ”
“ดีสิ จะได้ไม่ต้องมองใครอีก”
“พอแล้ว คุยเรื่องของเราต่อเถอะ” ร่างสูงพิงพนักเก้าอี้แล้วกล่าวต่อไป
“ผมจะแต่งงานกับคุณ โดยมีเงื่อนไขสัญญาตามนี้” ตฤณไม่ยอมเสียผลประโยชน์แน่นอน เพราะเขาต้องได้กำไรเท่านั้น ขาดทุนไม่มีในพจนานุกรมของตฤณ
เธออ่านสัญญาแต่งงาน โดยกวาดตามองตามองอย่างลวก ๆ สลับกับมองหน้าว่าที่เจ้าบ่าวของตัวเอง
“ห้ามหลงรัก” เธอเลิกคิ้วขึ้นมองพร้อมกับยิ้มขันความมั่นโหนกของเขาเหลือเกิน
“ใช่...ผมกลัวว่าคุณจะหลงรักผู้ชายที่แสนเฟอร์เฟค
อย่างผมจึงใส่ข้อนี้มาด้วย”
“หลงตัวเอง” เธอว่าแล้วก็อ่านต่อ แต่ในเนื้อหามีห้ามหึง ห้ามหวง ห้ามยุ่งเรื่องส่วนตัว เรื่องพวกนี้เธอไม่ใส่ใจอยู่แล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันได้ความรักจากเธอ
อ่านไปในใจก็คิด นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่ แค่เขาเอาเงินมาล่อ ก็จะยอมแต่งงานกับเขาง่าย ๆ งั้นเหรอ ในสมองตอนนี้สับสนปนเปตีกันยุ่งเหยิงไปหมด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่เธออยากรู้คือ เรื่องบนเตียง
“ห้ามมีเซ็กส์?”
“ก็เกิดคุณอยากล่ะ” เขาถามอย่างหน้าตาย เรื่องนี้มันตกลงกันสองฝ่าย
“ไอ้บ้า...มาพูดอยากอะไรกันเล่า”
“เกิดคุณเห็นซิกแพค หุ่นล่ำ ลำใหญ่ ๆ ของผมแล้วปล้ำผมทำไง”
“งั้นก็ไม่ต้องแต่ง...”
“ไม่ได้...แต่งสิ...แต่ง ตามใจเมียจ๋าเลย” ยังไม่ทันแต่งแววกลัวมาก็มาเสียแล้วไอ้ตฤณ
“แล้วจะสิ้นสุดสัญญาเมื่อไหร่”
“...สัญญาแต่งงานนี้จะสิ้นสุด เมื่อคุณแต่งงานกับผมครบหนึ่งปีครึ่ง”
“แล้วทำไมต้องแต่ง? คุณคิดเหรอว่าฉันจะยอมรับข้อเสนอของคุณง่าย ๆ” คำถามนี้เป็นคำถาม ที่ต้องการคำตอบที่สมเหตุสมผล
ในหัวของเธอคล้ายมีเครื่องประมวลผลเป็นระบบดิจิตอลคิดถึงความคุ้มค่าและผลได้ผลเสียที่กำลังจะเกิดขึ้นกับการดีลครั้งนี้
“ผมได้ยินว่าคุณอยากเปิดคลินิกรักษาสัตว์ เงินสิบล้านคิดว่าน่าจะทำได้ไม่ยาก”
“คุณคิดว่าฉันซื้อได้ด้วยเงิน?”
“ใช่สิ...ถ้ามันมากพอ” แววตาดุจเหยี่ยวพูดอย่างเป็นต่อ เขาทำการบ้านมาดี และรู้ว่าเธอกำลังต้องการเงิน
“ตกลง”
เขาจากไปแล้วทิ้งไว้แค่หนังสือสัญญาการแต่งงาน เธอนั่งนิ่งอยู่ที่โต๊ะอาหารไม่ได้ขยับ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป
“ฉันตกลงแต่งงานงั้นเหรอ”
เธอไม่คิดว่าตัวเองจะทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้ได้เลยจริง