ร่างของเด็กสาวอายุ 19 ปี ยืนอยู่หน้าห้องฉุกเฉิน เธอสวมเสื้อยืดสีดำ ดวงตาบวมแดงปูดโปนหลังผ่านการร้องไห้อย่างหนัก ในมือถือโทรศัพท์ของผู้เป็นมารดาแน่น
‘อย่าโทรมาหาฉันอีก แม่ไม่สบายก็ตามหมอ ตามฉันให้ได้อะไร’
เสียงผู้เป็นบิดาตัดสายไป โดยไม่ฟังเสียงเธอเลยด้วยซ้ำ ว่าแม่ไม่อยู่กับเธอแล้ว
ก่อนที่แม่จะเสียไป ได้สั่งเสียว่าให้มอบจดหมายนี้ให้กับคนที่ชื่อการันต์ บวรรักษ์ ตามที่อยู่ที่เธอเขียนให้ไว้หน้าซองจดหมาย
‘แม่...แม่อย่าทิ้งเทียนไป’
‘แม่จะอยู่กับหนู อยู่ในใจไงลูก’
รอยยิ้มสุดท้ายของมารดา เธอจำมันได้ดี แม่เป็นโรคมะเร็งในสมอง แต่ไม่เคยบอกให้ใครรับรู้ และไม่คิดจะรักษามัน
ชุติพล ก็เอาแต่ทำงาน และติดพันเจ้านายสาวชื่อปารมีจนละเลยที่บ้าน แล้วสุดท้ายก็สายไป แม่จากไปแบบไม่มีวันกลับ แต่เขากลับอยู่ในผับเล่นชู้กับหญิงอื่น
เธอโตแล้ว และเข้ามหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 1 แต่ที่ไม่พูดอะไรเพราะเห็นแก่แม่ กลัวแม่จะเสียใจ จึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น สุดท้ายบิดาเฮงซวยของเธอก็เลือกผู้หญิงคนนั้น
ชุติพลกลับถึงบ้าน พบเพียงบ้านที่เงียบเชียบ เขาโทรกลับมาหาเทียนไข จึงรู้ว่าเธออยู่โรงพยาบาล เขาจึงรีบมาเพราะตอนนี้เป็นเวลาเกือบตีสี่ แต่ลูกสาวกลับไม่อยู่บ้าน ไม่รู้ว่าเมียเขาเป็นอะไรมากหรือเปล่า ทุกทีก็แค่บ่นปวดหัว
ชุติพลเดินไปหน้าห้องไอซียูและสอบถามพยาบาล พบว่ากรองแก้วไม่อยู่ในนั้นแล้ว ร่างชายวัยกลางคนยกโทรศัพท์หมายจะโทรหาลูกสาว ทั้งในใจกระวนกระวายจนรู้สึกอึดอัด พลันสายตาก็เห็นเธอนั่งอยู่ที่เก้าอี้หน้าห้องดับจิต หัวใจเขาหล่นวูบไปที่ตาตุ่ม ขาที่แข็งแรงค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้ามาหาลูกสาวอย่างรวดเร็ว พร้อมกับภาวนาให้กรองแก้วไม่เป็นอะไร
เสียงเท้าที่ก้าวเดินมาใกล้เทียนไขขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่อาจจะเรียกสายตาของเธอให้หันไปมองได้ ตอนนี้เธอไม่เหลือใครแล้ว แม่จากเธอไปไกลแสนไกลแล้ว
“เทียนลูก!”
ชุติพลเอื้อมมือไปหาลูกสาว แต่เธอขยับหนีอย่างรังเกียจ ไม่พูดอะไรออกมาเอาแต่สะอื้นอย่างเดียว
แววตาคู่นั้นเย็นชาจนไปถึงขั้วหัวใจ เหมือนเขากำลังโดนแช่แข็งด้วยสายตาลูกสาว
เขาไม่เคยรู้สึกหนาวเย็นขนาดนี้มาก่อน เมื่อมองไปยังห้องดับจิตที่ยังเปิดแง้มไว้ เพราะเจ้าหน้าที่เพิ่งเอาร่างอันไร้วิญญาณเข้าไป ทำให้หยาดน้ำตาของคนเป็นสามีร่วงหล่นจากดวงตาเป็นครั้งแรก
‘กรองแก้ว ตายแล้วเหรอ’ เขาไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองด้วยซ้ำว่าร่างนั้น คือกรองแก้ว
หลังจากงานศพมารดาหนึ่งเดือน ก็ถึงวันเปิดพินัยกรรม ที่กรองแก้วแอบทำไว้ให้กับเทียนไข เธอรู้มานานแล้วว่าชุติพลนอกใจ แต่เลือกจะเก็บความเจ็บช้ำไว้ในใจ เพื่ออยากให้ครอบครัวยังมีครบสามคนพ่อแม่ลูก
แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงไม่เลือกเสียเงินไปกับการรักษา และเลือกเก็บทรัพย์สินทั้งหมดไว้ให้ลูกสาวเป็นทุนเรียนหนังสือ
‘พินัยกรรมระบุว่า ทรัพย์สินทั้งหมดของคุณกรองแก้ว เป็นของคุณเทียนไขทั้งหมด และวันนี้คือวันครบรอบวันเกิดอายุ 20 ปีบริบูรณ์ ดังนั้น เธอจึงเป็นผู้จัดการมรดกโดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ปกครอง’
‘จะเป็นไปได้ยังไง ผมเป็นสามีนะ’
‘คุณนอกใจภรรยา และมีหลักฐานชัดเจน คุณกรองแก้วคิดไว้แล้วว่าคุณจะต้องไม่ยอม และให้ผมทำเรื่องฟ้องผู้หญิงของคุณด้วยหากมีปัญหาเรื่องมรดก’
ชุติพลหัวเสียที่โดนภรรยาหักหน้า เขาหันไปมองใบหน้าลูกสาว ที่มองเขาอย่างเย็นชามาตั้งแต่แม่ได้เสียชีวิตลง แม้สักคำก็ไม่เอ่ยพูดกับเขาจนเขาก็จนใจ
“เทียนไข พูดอะไรบ้างสิ พ่อเป็นพ่อนะ”
“คุณไม่ใช่พ่อฉันอีกต่อไป ตั้งแต่ทิ้งให้แม่ต้องตายอย่างโดดเดี่ยว กลับไปหาผู้หญิงของคุณซะ หากไม่อยากมีปัญหา”
ลำพังเงินประกันของแม่ กับเงินสดหนึ่งล้านบาทในบัญชีสามารถทำให้เธอเรียนจบได้โดยไม่ลำบาก และไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงผู้ชายไร้ความรับผิดชอบอย่างเขา
บ้านหลังนี้เป็นมรดกของแม่ และไม่ถือเป็นสินสมรส จึงไม่ต้องแบ่งให้กับเขา เธอเป็นทายาทเพียงคนเดียว มีสิทธิ์ทุกอย่างในทรัพย์สินของแม่
“แก...นังลูกเนรคุณ นังลูกนอกคอก”
“ฉันเป็นลูกคน ไม่จำเป็นต้องอยู่ในคอกเหมือนวัวเหมือนควาย เก็บของคุณออกไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าคนที่ทำร้าย ให้แม่ตายทั้งเป็นอีก”
เสียงเทียนไขประกาศกร้าวไล่บิดาผู้ให้กำเนิดออกจากบ้านไป เขามันสกปรกเกินกว่าจะอยู่บ้านหลังนี้
“ดี...เอาตัวให้รอดแล้วกัน” ชุติพลไม่ง้ออยู่แล้ว กับอีแค่ทรัพย์สินกระจอกของกรองแก้ว ไม่ทำให้เขารวยขึ้นมากนักหรอก
ดี ตอนนี้เขาเป็นอิสระ จะได้แต่งงานกับปารมี ทายาทคนดังที่เป็นที่จับตามองอย่างไม่ต้องมีเรื่องอื้อฉาว
เทียนไขยืนมองรูปของมารดา คิดถึงจนน้ำตาเอ่อคลอ ความทรงจำเมื่อเจ็ดปีที่แล้วกลับมาอีกครั้ง
‘ตอนนั้นเธอหวังให้มีปาฏิหาริย์ ให้แม่เธอกลับมาหาเธอ แต่ในโลกความจริงมันหาปาฏิหาริย์ได้ยากนัก’
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ความเคียดแค้นต่อคนเป็นบิดา ก็ยิ่งทบทวีขึ้น แม้ผ่านมาหลายปีแล้วเธอก็ไม่อาจจะวางความเจ็บช้ำนี้ลงได้
เธอไม่เคยติดต่อเขาอีก แต่ก็พอรู้ว่าเขาไปทำอะไรอยู่ที่ไหน เพราะข่าวหน้าสังคมออกเป็นประจำ เธอเลือกที่จะให้เขาตายจากไป กลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักดีกว่าที่เธอต้องทนอยู่กับคนแบบนั้น
ครืด...ครืด...!
เสียงสั่นของโทรศัพท์ในกระเป๋าดังขึ้นปลุกให้เธอตื่นจากภวังค์ หลังจากดูเบอร์ที่โชว์ว่าใครเป็นคนโทรก็แล้วกดรับด้วยรอยยิ้มทันที
“เทียน ไปงานแต่งงานเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“ได้สิมัท เมื่อไหร่ล่ะ”