ข่าวการเจอผีของพวกฉันดังกระฉ่อนไปไกล จนในที่สุดพ่อผู้ใหญ่ต้องลงพื้นที่ไปดู ว่าที่เห็นกันเมื่อวาน มันผีหรือคนกันแน่ และบทสรุปคือผู้ชายที่ร้องโอดโอยและถูกฉันตบด้วยรองเท้าจนหงาย คือคนตัวเป็นๆ ไม่ใช่ผี แต่อย่างใด
ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าควรดีใจไหมที่เขาเป็นคน เพราะว่าโดนฉันตีซ้ำจนสลบไปกับที่ โชคดีนะที่พ่อผู้ใหญ่ไปถึงไว เขาถึงรอดพ้นมาได้ ฉันเลยไม่ต้องตกไปเป็นฆาตกรโดยไม่รู้ตัว
“เอานี่”
“อีหยัง” (อะไร)
ทันทีที่เดินลงพ้นหัวบันไดบ้าน แม่ก็รีบยื่นปิ่นโตส่งให้พร้อมกับออกคำสั่ง
“เอาแนวกินไปส่งเฮือนตาพวง” (เอากับข้าวไปส่งบ้านตาพวง)
“ส่งเฮ็ดหยัง” (ส่งทำไม)
ฉันยังไม่เลิกตั้งคำถาม แต่ก็ยอมรับปิ่นโตจากมือของแม่มาถือแล้ว
“เอาข้าวต้มไปส่งเพิน กะที่มื้อวานมึงเอาเกิบไปตบหน้าเขานั่นล่ะ” (เอาข้าวต้มไปส่งเขา ก็ที่เมื่อวานมึงเอารองเท้าไปตบหน้าเขานั่นแหละ)
ฉันชะงักไปเล็กน้อย นึกว่าเขากลับบ้านกลับช่องไปแล้วเสียอีก นี่ยังอยู่อีกเหรอ
“ยังอยู่อีกติ ว่าแมนไปอยู่โรงบาลพุ่น” (ยังอยู่อีกเหรอ นึกว่าไปโรงพยาบาลแล้ว)
“จักคือกัน เห็นว่าฮู่จักกันกับตาพวงเด้” (ไม่รู้สิ เห็นว่าเขารู้จักกับตาพวงนะ)
แม่ตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันกลับไปเก็บเศษหินและเปลือกข้าวออกจากเม็ดข้าวสีขาวน้ำนมบนกระด้งสานใบใหญ่ วันนี้ฉันไม่มีธุระพอดี เลยยอมไปส่งอาหารให้ อยากไปดูให้แน่ใจด้วยนั่นแหละ ว่าไอ้ผู้ชายคนนั้นจะปลอดภัยจริง ๆ ไม่ใช่ว่าผ่านไปไม่นานมานอนตายอยู่นี่นะ ไม่งั้นฉันนี่แหละจะถูกตราหน้าว่าเป็นฆาตกร เพราะดันไปคุยโวว่าตัวเองถอดรองเท้าตบหน้าผีได้
บ้านของฉันกับบ้านตาพวงไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก ขับรถมาสักพักก็ถึงที่หมาย ปกติบ้านหลังนี้จะอยู่กันสามคน คือตาพวง น้าอรลูกของตาพวง และไอ้สรลูกของน้าอร ซึ่งตาพวงก็เป็นตาแท้ ๆ ของพี่สิงห์ด้วย ใช่... พี่สิงห์นั่นแหละ คนที่ฉันตามจีบเขาอยู่สิบปี พูดแล้วก็ขายหน้า ไม่น่าออกตัวแรงขนาดนั้นเลย
“น้าอร น้าอร”
มาถึงก็รีบเตะขาตั้งลง แล้วเดินโท่ง ๆ เข้ามาในบ้านอย่างคุ้นชิน ก่อนจะหยุดชะงักไปกับที่ เพราะเห็นชายร่างกำยำเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผล กำลังนอนหายใจรวยรินอยู่บนแคร่ ด้านล่างมีถ่านสีแดงร้อน ๆ ที่กระจายอยู่ บนแคร่มีสมุนไพรนานาพันธุ์ที่เขากำลังนอนทับ หรือที่เรียกว่าภูมิปัญญาชาวบ้าน ใช้สำหรับการไล่เลือดไม่ให้ระบมช้ำ
“มาอีหยัง” (มาทำไม)
เสียงเอ่ยทักทำให้ฉันละความสนใจจากใบหน้าที่แดงช้ำ รีบหันไปมองผู้เฒ่าผมขาวดอกเลา ที่กำลังยั้งไม้เท้าตรงเข้ามาหา
“เอาข้าวต้มมาให้”
พูดพร้อมกับยื่นปิ่นโตส่งให้ อีกฝ่ายก็รีบรับไปถืออย่างรวดเร็ว
“ขอบใจ”
“น้าอรเด้” (น่าอรล่ะ)
“ไปยามย่า” (ไปเยี่ยมแม่ผัว)
“บักสรกะไปเบาะ” (ไอ้สรก็ไปด้วยเหรอ)
“อืม”
มิน่าล่ะ แม่เลยต้องเป็นคนทำอาหารมาส่ง ข้าวต้มนี้คงกินทั้งตาพวงแล้วก็...
“เจ้าฮู่จักเพินนำเบาะ” (ตารู้จักเขาด้วยเหรอ)
ฉันปรายตาพร้อมกับพเยิดหน้าไปยังคนที่กำลังนอนแน่นิ่งอยู่บนแคร่ ทั้งที่ธุระของฉันเสร็จแล้ว แต่ฉันยังเอาแต่ซักถามด้วยความขี้สงสัย
“อืม มึงกะเคยพามันมา” (อืม มึงก็เคยพามันมา)
“ข่อยติ?” (ฉันเหรอ)
พูดพร้อมกับชี้มือเข้าหาตัวเอง ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่เห็นจะจำได้
“เออ อาทิตย์วังยานี่เด้ ที่มันน้ำมันเบิด มึงเลยพามาส่ง” (เออ อาทิตย์ที่แล้วนี่ไง ที่มันน้ำมันหมด มึงเลยพามาส่ง)
“อ๋ออ อ้ายดาราคนนั่น” (อ๋ออ พี่ดาราคนนั้น)
จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นดาราหรอก ไม่ได้หล่ออย่างกับดาราด้วย แต่เขาปิดหน้าปิดตาซะมิดชิดอย่างกับกลัวว่าข่าวจะหลุด ทั้งหมวกเอย แมสเอย แว่นตาเอย ตอนพาเขาขับรถซ้อนท้ายมาก็แอบระแวงเหมือนกันว่าเขาจะปล้น แต่วันนั้นเขาขับรถเก๋งคันหรู เลยมั่นใจอยู่บ้างว่าคงไม่มาปล้นรถมอเตอร์ไซค์เก่า ๆ ตะแกรงหน้าหลุดของฉันหรอก
“แล้วเลาเป็นคนทางได๋ คือบ่พาเลาเมือบ้าน” (แล้วเขาเป็นคนที่ไหนเหรอ ทำไมไม่พาเขากลับบ้าน)
ตาพวงไม่ตอบในทันที เพียงแค่หันมามองหน้าฉันอย่างราบเรียบ
“โคราช”
“โอ้ ไกลคัก แล้วเลามาเฮ็ดหยังอยู่นี่” (โห ไกลนะเนี่ย แล้วเขามาทำอะไรที่นี่ล่ะ)
ฉันถามต่อทันทีด้วยความใส่ใจ แต่ดูเหมือนคงถามมากไปจนตาพวงชักรำคาญ
“เบิดเวียกมึงแล้วกะเมือโลด” (หมดธุระของมึงแล้วก็กลับไป)
“เอ๋า ส่อแนกะบ่ได้” (เอ้า ถามแค่นี้ก็ไม่ได้)
ฉันเบ้ปากเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเตรียมจะเดินออกไปจากบ้าน แต่ยังมีอีกคำถามที่ยังอยากรู้
“แล้วอ้ายเลาซืออิหยัง” (แล้วพี่เขาชื่ออะไร)
“ซือพญา ถามดู๋แท้เดียวหนิ มักมันสั่นเบาะ” (ชื่อพญา ถามเยอะขนาดนี้มึงชอบมันหรือไง)
“บ่ ๆ ไผสิไปมักลง เป็นตาย่านปานนี่” (เปล่าสักหน่อย ใครจะไปชอบลง น่ากลัวขนาดนี้)
บอกตามตรงว่าหน้าตาเขาเป็นแบบไหนฉันดูไม่ออกเลย เนื้อตัวมีแต่ผ้าสีขาวพันรักษาแผล ใบหน้าปูดบวม ช้ำไปหมดจนดูไม่จืด แต่ที่รู้แน่ ๆ คือตัวใหญ่กล้ามแน่นและผิวขาวมาก ต่อให้จะช้ำระบมจนดูไม่ได้ แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เผยให้เห็นเนื้อหนังอยู่
“เออ มันกะสิบ่มักมึงคือกันล่ะ เอาเกิบตบมันจนหน้าซ่ำปานนี่” (เออ มันก็คงไม่ชอบมึงเหมือนกันนั่นแหละ เอารองเท้าตบหน้ามันจนหน้าช้ำขนาดนี้)
“เลาจำหน้าข่อยได้ติ” (เขาจำหน้าฉันได้เหรอ?)
ฉันโพล่งถามออกไปทันทีอย่างตื่นตระหนก
“สิไปจำได้หยัง กูยังบ่เห็นมันฟื้นจักเทืออยู่” (จะไปจำได้อะไรล่ะ กูยังไม่เห็นมันฟื้นเลยเนี่ย)
“จังซั่นคันเลาฟื้นมา เจ้าอย่าบอกเลาเด้อว่าข่อยเอาเกิบตบหน้าเลา” (ถ้างั้นตอนเขาฟื้นขึ้นมา ตาอย่าบอกเขานะ ว่าฉันเป็นคนเอารองเท้าตบหน้าเขาน่ะ)
“หึ ๆ”
ตาพวงไม่รับปาก แถมยังกลั้วขำเดินถือปิ่นโตของฉันเข้าไปในครัว ทิ้งให้ฉันยืนมองตามแผ่นหลังไปอย่างงง ๆ
“ขอโทษเด้ออ้ายพญา ข่อยบ่ได้ตั้งใจ คันเจ้าตายกะอโหสิกรรมให้ข่อยแนเด้อ” (ขอโทษนะพี่พญา ฉันไม่ได้ตั้งใจ ถ้าพี่ตายก็อหสิกรรมให้ฉันหน่อยนะ)
ฉันยกมือไหว้ท่วมหัว พร้อมกับมองหน้าที่ขึ้นรอยแดงเป็นเถือกใหญ่ อันเกิดจากแรงฟาดของฉันเมื่อวานนี้ ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะอยู่รอดปลอดภัยนะ เพราะถ้าเขาตาย ฉันก็คงรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตแน่ ๆ