ลี่ซินเดินจากไปโดยมิได้หันมามองทั้งคู่อีก แม้ว่าจะให้เกียรติเขาและเอ่ยลาอย่างสุภาพแต่ในหัวใจกลับสั่นไหวและกลัว หากว่าครั้งนี้มิใช่ราชโองการท่านอ๋องอาจจะขอยกเลิกการหมั้นหมาย แต่ที่เขาเรียกนางมาจะใช่เรื่องนี้หรือเปล่าก็ยังมิรู้แน่ ลี่ซินกลัวว่าเขาจะเอ่ยปากขอยกเลิก โชคดีที่เฟิ่งถงหลินมาขัดจังหวะเสียก่อนแต่คำที่ท่านอ๋องบอกกับเฟิ่งถงหลินไปนั้น
“ข้าขอไปส่ง “ว่าที่คู่หมั้น” ของข้าก่อน”
คำนี้ทำให้นางรู้สึกวาบหวามในใจไม่น้อย นางถูกสั่งสอนมาว่าต้องให้เกียรติผู้อื่น รักษากิริยามารยาทของสตรีที่ดี ต่อให้ถูกเหยียดหยามก็อย่าได้ละเลยมารยาทที่ควรจะเป็น เมื่อเดินออกมาจากสวนก็พบกับอวี้อ๋อง “อวี้ตงหลาน” ที่พึ่งเดินออกมาจากโถงงานเลี้ยงเช่นกัน
“ถวายบังคมอวี้อ๋องเพคะ”
“เจ้า…”
“หม่อมฉันอันลี่ซินเพคะ”
“ที่แท้ก็เจ้านี่เอง ว่าที่น้องสะใภ้ของข้างั้นหรือน่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยพบเห็นเจ้ามาก่อนมิเช่นนั้น…”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์ของอวี้อ๋องเอ่ยทักขึ้นเมื่ออวี้อ๋องที่กำลังกวาดสายตามองนางอย่างพินิจ ลี่ซินรู้สึกไม่ชอบสายตาของเขาเลยแต่ก็สุดจะพูดสิ่งอันใดได้
“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ”
“เดี๋ยวสิจะรีบไปไหนงั้นหรือ เจ้าออกมาจากสวนมิใช่หรือ”
“หม่อมฉันเพียงแค่เดินออกมาเดินเล่น ตอนนี้ท่านพ่อคงตามหาแย่แล้ว ทูลลาเพคะ”
ลี่ซินรีบถวายบังคมลาและเดินออกมาโดยมิได้รอให้อวี้อ๋องกล่าวสิ่งใดอีก นางไม่นึกอยากจะทักทายหรือสนทนาด้วยเพราะบัดนี้นางเองก็ถูกผูกมัดด้วยราชโองการส่วนหนึ่ง อวี้อ๋องเองก็เช่นกันแต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะมิได้คิดเช่นนั้น
“อันลี่ซินบุตรสาวราชครูอันงั้นหรือ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงข้าไม่เคยเห็นนางกันนะ”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้น่า แค่นึกเสียดายเท่านั้นหากว่าเทียบกับจริตและความอ่อนช้อยแน่นอนว่าสู้เฟิ่งถงหลินไม่ได้ แต่หากจะพูดถึงเรื่องความงามข้าคิดว่า… เฮ้อ บุปผางามน่าชื่นชมเหตุใดข้าจึงมิได้ครอบครองทั้งหมดกันเล่า”
“ท่านอ๋อง ได้ยินว่าแม่นางเฟิ่งลอบนัดพบกับเว่ยอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อะไรนะ”
อวี้ตงหลานหันไปมองในสวนและเห็นว่ามีคนอยู่ที่ศาลานั้นจริง ๆ เขาจึงหันมากัดฟันยิ้มเย้ยหยัน
“ที่แท้ก็เพราะแบบนี้นี่เองเช่นนั้นก็ง่ายแล้วสิ หากว่าข้าอยากจะได้บุตรสาวราชครูก็มิใช่เรื่องยาก ในเมื่อเฟิ่งถงหลินเองก็มีใจให้กับน้องรอง เช่นนั้นข้าจะไปทูลเสด็จแม่ หลั่นเล่อเจ้าตามมาเถอะ”
อวี้อ๋องเดินกลับเข้าไปในห้องโถงอีกครั้งโดยมิได้ทรงใส่พระทัยเรื่องที่เฟิ่งถงหลินและเว่ยอ๋องลอบพบกันในสวน เดิมทีเขาแค่จะมาดูให้เห็นกับตาเท่านั้นแต่กลับได้พบกับอันลี่ซินเสียก่อนจึงเกิดความสนพระทัยขึ้นมา ที่จริงเขามองนางตั้งแต่ในโถงงานเลี้ยงแล้ว น่าเสียดายที่ฝ่าบาททรงประทานงานหมั้นหมายให้กับเว่ยอ๋องมิใช่เขา
หน้าโถงงานเลี้ยง
“ซินเอ๋อร์เหตุใดจึงกลับมาเร็วนัก แม่คิดว่าจะคุยกันนานกว่านี้”
“พวกเรากลับกันเถิดเจ้าค่ะท่านแม่”
“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ เหตุใดเจ้าดูอารมณ์ไม่ค่อยดีนักเล่า”
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะลูกเหนื่อยก็เลยไม่อยากพูดมากเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นก็กลับเถอะท่านพ่อยังอยู่ต่ออีกหน่อยเรากลับกันก่อน”
“เจ้าค่ะ”
จวนราชครูอัน
ลี่ซินกลับมาที่จวนแล้วจึงได้ขอตัวกลับห้องของตัวเอง เมื่อนางได้กลับมานั่งทบทวนบางอย่าง ทั้งจากสิ่งที่ได้ยินมาที่สวนและสิ่งที่ท่านอ๋องตรัสก่อนที่นางจะกลับมา
“เหตุใดจึงต้องขอคนอื่นแต่งงาน แต่เมื่อประกาศราชโองการเหตุใดจึงมิทักท้วง อีกทั้งยังสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับท่านพ่อ หรือว่าเขาคิดว่าท่านพ่ออยู่เบื้องหลังงานหมั้นงั้นหรือ แต่เขาบอกกับเฟิ่งถงหลินว่า…”
เพียงแค่คิดนางก็รู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า นับตั้งแต่หลังพิธีปักปิ่นมานางก็แทบจะไม่ได้ออกจากจวนเนื่องจากมารดาที่เป็นผู้เคร่งในระเบียบมารยาท ส่วนบิดาเองก็เป็นขุนนางชั้นเอกข้างพระวรกายฮ่องเต้ การจะออกไปปรากฏตัวนอกจวนบ่อย ๆ ไม่เหมาะกับสตรีในเรือนเช่นนาง
วันถัดมา
“คุณหนู ท่านวาดรูปดอกเหมยนี้ราวกับมันมีชีวิต ยอดไปเลยเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ แต่อาจารย์ฝูเย่ก็ยังบอกว่าข้ายังวาดกิ่งก้านไม่ค่อยเหมือน ข้าคิดว่า…”
“เรียนคุณหนู”
“ชิงลี่ มีอะไรงั้นหรือ”
“เว่ยอ๋องเสด็จมาบอกว่าต้องการพบท่านเจ้าค่ะ”
“เว่ยอ๋องงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ตอนนี้ฮูหยินรับรองอยู่ที่โถงด้านหน้าเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้วจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ต้องหรอกข้ามาแล้ว”
อันลี่ซินไม่ทันได้เก็บของเว่ยอ๋องก็เสด็จเข้ามาถึงศาลาวาดภาพของนางเสียแล้ว เว่ยซ่างเจวี๋ยเดินมาพร้อมกับหยิบภาพวาดขึ้นมาดู
“ถวายบังคมท่านอ๋อง…”
“พอเถอะไม่ต้องมากพิธีหรอกพวกเจ้าออกไปก่อน ข้าอยากจะคุยกับนางตามลำพัง”
""เพคะ""
สาวใช้ของลี่ซินเดินเลี่ยงออกไปทันที ท่านอ๋องยังไม่ลดละสายตากับภาพวาดดอกเหมยที่นางวาด ลี่ซินเห็นว่าพระองค์มิได้ตรัสสิ่งใดจึงเดินมารินน้ำชาให้ตามมารยาท
“ภาพวาดนี้เก็บรายละเอียดได้ค่อนข้างดี ดอกเหมยที่กำลังผลิดอกในฤดูหนาวก็เสมือนจริง นับว่าเจ้าเป็นผู้ที่ละเอียดและช่างจดจำ ยังชอบวาดรูปเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”
“เพคะ”
เพียงแค่คำเอ่ยชมของท่านอ๋องก็ทำให้ลี่ซินดีใจจนแทบจะไร้เรี่ยวแรง คิดไม่ถึงเลยว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงจวนนางจริง ๆ ตามที่ตรัสเอาไว้อีกทั้งยังเอ่ยชมภาพวาดที่นางพึ่งฝึกวาดอีกด้วย
“ข้าชอบภาพนี้ มอบให้ข้าได้หรือไม่”
“ภาพนั้นไร้ราคาอีกอย่างหม่อมฉันเพียงแค่ฝึกวาดเท่านั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี แต่หากว่าพระองค์ชื่นชอบเช่นนั้นรอให้หม่อมฉันวาดให้เสร็จก่อนแล้ว… จะนำไปถวาย”
ท่านอ๋องยิ้มให้ก่อนจะค่อย ๆ วางภาพลงที่โต๊ะตามเดิม
“เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะรอนะ”
“เพคะ”
เว่ยซ่างเจวี๋ยเดินมานั่งที่โต๊ะกลางศาลา ก่อนจะหยิบชาฤดูวสันต์แรกมาดื่ม
“มิได้ดื่มชาที่สดชื่นเช่นนี้มานานแล้ว พอได้ดื่มอีกครั้งก็รู้สึกชุ่มคอและสดชื่นยิ่งนัก”
“วันนี้ที่พระองค์เสด็จมา มีเรื่องด่วนอันใดหรือเพคะ”
ซ่างเจวี๋ยวางจอกชาก่อนจะหันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่แดงก่ำเมื่อเอ่ยถามเขา แม้กระนั้นก็ยังดูขาวและดูไร้ซึ่งมารยาตามแบบสตรีที่เขาเคยพบเห็นมาก่อนหน้านี้
“ทำไมหรือ การที่ข้ามาแวะเยี่ยม "ว่าที่คู่หมั้น" ขอตัวเองมันผิดแปลกด้วยงั้นหรือลี่ซิน"
เพียงแค่ได้ยินคำนั้นลี่ซินก็อายม้วนและลอบยิ้ม แม้ว่าจะพยายามที่จะฝืนแต่คำพูดที่อ่อนโยน และน้ำเสียงที่จริงใจก็ทำให้นางตกอยู่ในภวังค์จนยากจะถอนตัว
“แต่ว่าเมื่อวานนี้…”
“อ้อ เรื่องเมื่อวานนี้ ใช่แล้วก่อนอื่นข้าต้องขอโทษเจ้าที่ด่วนกล่าวหาสกุลอัน ข้าเองก็ไม่เคยทราบเรื่องราชโองการนี้มาก่อนแต่เมื่อเข้าเฝ้าเสด็จพ่อแล้วจึงได้รู้รายละเอียดทั้งหมด ดังนั้นวันนี้ข้ามาเพื่อขอโทษเจ้า”
“ขอโทษหรือเพคะ หรือว่าพระองค์จะมิได้อยากหมั้นหมาย”
“อะไรนะ”
สีหน้าของนางสลดลงไปเล็กน้อย ซ่างเจวี๋ยไม่เข้าใจว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่ แต่ดูจากสีหน้าที่เป็นกังวลแล้วคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อจะขอยกเลิกงานหมั้นกับนาง
“ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อจะขอโทษเจ้า เรื่องที่ข้ากล่าวหาว่าราชครูอันกับเสด็จพ่อรู้เห็นกันเรื่องการหมั้นหมายของพวกเรา เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเองจึงได้มาขอโทษเจ้าในวันนี้ เจ้าจะยกโทษให้ข้าได้หรือไม่”