ก็อก ๆ
ฉันรีบเปิดประตูรับคนใหม่ที่เพิ่งมาถึงคอนโด คนนั้นจะเป็นใครไม่ได้นอกจากยัยทอฝันเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิต
"ฮัลโหลลลล ~" เจ้าของเสียงหวานว่าจบก็เดินแทรกเข้ามาในห้องด้วยมือที่ถือของพะรุงพะรัง เต็มไปด้วยอาหารโปรดของฉันทั้งนั้น คนเพิ่งเลิกงานที่ยังไม่มีอะไรตกถึงห้องจึงตาลุกวาว
"ฉันซื้อข้าวมันไก่เจ้าดังมาฝาก เนื้อส่วนอกไร้มันรับรองดีต่อสุขภาพแน่นอน แล้วก็ยังมีสลัดผัก ผลไม้อีกสองสามอย่างเอาไว้บำรุงหลานของฉันจะได้แข็งแรงปลอดภัย" ฉันยกยิ้มพร้อมส่ายหัวให้คุณน้าขี้เห่อ ยังไม่ทันรู้ผลที่แน่ชัดก็เห็นแววว่าเจ้าเด็กของฉันจะมีแม่บุญธรรมที่รอต้อนรับเขาเป็นอย่างดี
"ฉันกินหมดนี่ได้พุงแตกตายพอดี"
"ฉันก็เผื่อหลานฉันจะหิว แล้วแกเพิ่งกลับจากทำงานใช่ไหม กินอะไรมาหรือยัง ฉันจะได้เตรียมให้"
"ยัง ฉันรู้ว่ายังไงแกก็มา" ฉันรู้ดีว่าอย่างไรทอฝันก็ไม่ปล่อยให้ฉันต้องคิดมากอยู่คนเดียวกับเรื่องที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่โชคดีอีกอย่างหนึ่งในชีวิตก็คงมีเพื่อนที่รักฉันมากนี่แหละ
"งั้นแกก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ ฉันเตรียมให้ ออกมาจะได้ทานเลย"
"แต่ฉันอยากช่วย"
"ไม่ต้อง ฉันทำเองถนัดกว่า ส่วนแกไปอาบน้ำค่ะ" ฉันโดนเพื่อนจับหมุนตัวแล้วดันหลังเบา ๆ ให้ตรงเข้าไปในห้องนอน อยากจะช่วยก็ไม่ให้ช่วย ขัดอะไรไม่ได้จึงต้องเข้าไปอาบน้ำอาบท่าตามคำสั่ง
ผ่านไปสักพักฉันในชุดนอนก็พร้อมที่โต๊ะอาหาร โดยมียัยทอฝันจัดการให้ทุกอย่างตั้งแต่เตรียมอาหารใส่จานและรินน้ำดื่ม
เพื่อนสนิทไม่ยอมให้ฉันทำอะไรเลยสักอย่าง จัดแจงจนครบแล้วก็ลงมานั่งตรงข้ามทานอาหารที่เธอซื้อมาแล้วพุดคุยกันอย่างสนุกสนาน
"ว่าแต่แกบอกที่ทำงานหรือยัง เรื่องท้อง?" ฉันส่ายหัว
"ฉันย้ำกับแกหลายรอบแล้วนะแตม เรื่องนี้สำคัญมากนะ" ทอฝันทำหน้าดุ
"ฉันเพิ่งเริ่มงานแค่วันเดียวนะฝัน บอกไปก็เกรงใจพี่ ๆ เขาเปล่า ๆ ฉันไม่อยากเป็นตัวถ่วงของใคร อีกอย่างงานใหม่ไม่ได้หนักเลยสักนิด ฉันคิดว่าฉันทำได้โดยไม่ต้องบอกกับใคร"
"แต่ถ้าพวกเขารู้ก็จะได้ช่วยกันระวังไงแตม"
"แค่ท้องเองฝัน ฉันไม่ได้เป็นโรคร้ายสักหน่อย"
"ทำไมแกดื้อแบบนี้วะ" ทอฝันกอดอกแล้วเบือนหน้าหนี ฉันเข้าใจเพื่อนที่หวังดีเป็นห่วงฉันและลูกในท้อง ยิ่งเรื่องพ่อของลูกที่ยังหาทางออกไม่ได้ก็ยิ่งสร้างความลำบากใจกับเธอ
"แกไม่ต้องห่วงเลยฝัน ทุกวันนี้แม่เลี้ยงเดี่ยวก็เต็มสังคมไปหมด ฉันแค่เป็นหนึ่งในนั้น มันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แล้วถ้าเด็กคนนี้เขามาจริง ๆ ฉันก็เต็มใจที่จะเป็นทั้งพ่อและแม่ให้เขา ฉันมั่นใจว่าฉันจะเลี้ยงดูเขาได้เป็นอย่างดี" ฉันลูบหน้าท้องที่ยังแบนราบพร้อมเผยยิ้มให้ทอฝันสบายใจ หากในนั้นมีอีกหนึ่งชีวิตจริง ๆ ฉันก็เต็มใจที่จะเลี้ยงดูเขาเป็นอย่างดี
"แล้วพ่อเขาล่ะ แกจะไม่ตามหาเขาให้เขารับผิดชอบเลยเหรอ?"
"คงไม่ล่ะ ใครเขาจะมารับผิดชอบคนเพิ่งรู้จักกันจริงไหม" อีกอย่างมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาด้วย ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวฉันที่ทำอะไรไม่ระวัง ฉันผิดเต็ม ๆ ไม่มีหน้าที่ไหนจะไปขอความรับผิดชอบจากเขา
"แต่แกไม่มีใครเลยนะ ทั้งพ่อและแม่ แล้วใครจะช่วยแกเลี้ยง" ทอฝันยังคงทำหน้าเศร้า
"ใครบอกฉันไม่มีใคร ฉันยังมีแกไง แล้วหลานก็จะมีแม่บุญธรรมที่รักเขามากเหมือนกัน" เพียงเท่านั้นเพื่อนสนิทก็คลี่ยิ้มหวาน รีบเดินมาสวมกอดฉันพร้อมลูบหลังเบา ๆ จนรู้สึกปลอดภัย เวลาแบบนี้ทำให้รู้ว่าใครรักเราจริง ๆ หนึ่งในนั้นมีทอฝันที่ฉันมั่นใจว่าเธอจะเคียงข้าง และคอยดูแลกันและกันอย่างนี้ตลอดไป
เช้าวันต่อมา
"เฌอแตมทำไมหน้าซีดแบบนั้น" ทันทีที่ฉันนั่งลงที่โต๊ะทำงานของที่ทำงานใหม่ที่เริ่มเป็นวันที่สอง พี่ใหม่ก็รีบเดินเข้ามาทัก ก่อนที่จะว่าจบก็ทาบหลังมือบนหน้าผากเพื่อพยายามจะเช็คอุณหภูมิร่างกายให้
"ตัวก็ไม่ได้ร้อนนี่หนา" เธอเอ่ยด้วยใบหน้าสงสัย แต่แฝงไปด้วยความเป็นห่วงที่ทำฉันรู้สึกดี
"เมื่อคืนแตมคงจะนอนน้อยไปหน่อยค่ะ" ก็เมื่อคืนเล่นคลื่นไส้ทั้งคืน มีอาเจียนไปด้วยสองสามครั้งทำเอาฉันไม่ได้หลับไม่ได้นอนวิ่งวุ่นสลับห้องน้ำกับห้องนอนเกือบทั้งคืน
"ไหวไหมเนี่ย กลับไปพักก่อนดีไหม หรือจะให้พี่พาไปโรงพยาบาล" ฉันส่ายหัวนิด ๆ เพิ่งจะเริ่มงานแต่กลับลาป่วยเลย คงไม่ดีมั้งฉันว่า…
"ไม่เป็นไรค่ะพี่ใหม่ ได้ยาดมก็น่าจะดีขึ้น" ฉันแวะซื้อระหว่างทางมาแล้วด้วย ได้สูดเข้าไปเต็มไปปอดสักพักก็น่าจะดีขึ้น
"ยังไงก็บอกพี่นะ อย่าอดทนคนเดียวเข้าใจไหม"
"ค่ะพี่ใหม่ ขอบคุณนะคะ" ถ้าเป็นที่ทำงานเก่าฉันคงจะโดนด่าเพิ่ม ยิ่งเป็นยัยหัวหน้างานคนนั้นยิ่งได้โอกาสหาข้ออ้างมาต่อว่าฉันแน่นอน แต่กับที่นี่แตกต่างกันอย่างลิบลับ ทุกคนพร้อมใจกันเป็นห่วงและจับสังเกตฉัน ไม่เพียงแค่พี่ใหม่คนเดียว แต่พี่อีกสี่คนที่เหลือก็แวะเวียนกันถามไถ่อาการฉันอยู่ตลอดเวลา
"เฌอแตมจะไปไหน?" ฉันชะงักเท้าปรายไปตามเสียง หลังจากเพิ่งลุกจากที่นั่งก็ถูกพี่ ๆ เรียกขึ้นมาก่อน
"แตมว่าจะไปหาอะไรดื่มในครัวหน่อยค่ะ" ยิ่งอยู่หน้างานก็ยิ่งรู้สึกพะอืดพะอม อาการของฉันชักไม่ค่อยดีจึงคิดว่าหาอะไรหวาน ๆ อย่างเช่นเครื่องดื่มผสมน้ำตาลน่าจะดีขึ้นมา
"ป่วยอยู่ไม่ใช่เหรอ มานั่งเถอะ เดี๋ยวพี่ไปเอามาให้" พี่ใหม่เสนอ
"ไม่เป็นไรค่ะ แตมไหว พี่ ๆ เอาอะไรไหมคะ?" ทุกคนส่ายหัว
"ไหวแน่ใช่ไหม?" ขณะที่ฉันพยักหน้าอีกครั้ง เกรงใจที่จะให้เขาต้องมาดูแล จึงฝืนสังขารพาตัวเองตรงไปที่ครัวเล็ก ๆ ในบริษัท ที่มีทั้งมุมกาแฟและโต๊ะอาหารสำหรับบริการพนักงาน
ครัวของบริษัทอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม แต่อยู่ ๆ ไอ้ตาที่มันเคยสว่างก็เริ่มพร่ามัว เสียงรอบข้างเริ่มอื้ออึง กระทั่งฉันได้ยินเสียงที่เรียกชื่อฉันลาง ๆ แล้วภาพสุดท้ายที่จำได้ก็มีแต่ความมืดมิดพร้อมกับความรู้สึกอกแข็งของอ้อมกอดใครสักคนที่ประคองไม่ให้ฉันล้มลงกับพื้น แล้วก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
…
…
"แตม เฌอแตม…" ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นตามเสียงเรียกของใครสักคนที่พยายามเรียกสติ ภาพที่เริ่มมัวตรงหน้าเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งฉันกระพริบตาถี่ ๆ ปรับสายตาก็เห็นพี่ใหม่ที่กำลังถือยาดมจ่อที่จมูกของฉัน
"แตมเป็นลมเหรอคะ?" ฉันชันตัวพยายามขึ้นมานั่ง โดยมีพี่ ๆ คอยช่วยเหลือ
"ใช่ เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นไหม ไปหาหมอไหม?" ฉันส่ายหัวหวือ แค่นี้ทุกคนก็ลำบากเพราะฉันมากพอแล้ว
"ไม่เป็นไรค่ะ แตมโอเคขึ้นแล้วจริง ๆ"
"โชคดีนะที่ไม่ล้มหัวฟาดพื้น" หนึ่งในพี่ร่วมงานถอนหายใจอย่างโล่งอก ฉันก็ว่าตัวเองโชคดีที่มีใครมารับเอาไว้ก่อน ไม่งั้นก็คงหัวฟาดพื้นอย่างที่เขาว่าจริง ๆ
"ขอบคุณนะคะที่เข้ามาช่วยแตม"
"ไม่ใช่พวกพี่หรอก"
"แล้วใครเหรอคะ?" ฉันเอียงคอถามด้วยความสงสัย กระทั่งทุกคนมองหน้ากันยิ้ม ๆ ก่อนจะมีคนหนึ่งที่ขยับออกให้ฉันเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม่ไกลจากโซฟาที่ฉันถูกจับให้นอน
"บอสน่ะ" บอส…หมายถึงท่านประธานบริษัทน่ะเหรอ!?
"โอเคขึ้นไหมครับ?" ทำไมน้ำเสียงคุ้นหูจัง ไม่สิ…ไม่ใช่แค่เสียง ใบหน้าฟ้าประทานฉันก็รู้สึกคุ้นเคยเหมือนกัน
"คะ คุณ!!"