บทที่ 2 เอาตัวรอด

1309 Words
บทที่ 2 เอาตัวรอด “เฮือก!!” ดวงตาคู่งามเบิกกว้างด้วยความตกใจ ภาพจำล่าสุดทำให้นางรู้สึกหวาดหวั่น รอยยิ้มของหลันหลี่น่าช่างน่าเคลือบแคลงใจเหลือเกิน ว่าแต่... เหตุใดนางจึงถูกมัดอยู่เช่นนี้ อีกทั้งแรงสั่นสะเทือนนี้จะต้องอยู่ในรถม้าเป็นแน่ ในตอนนั้นเองรถม้าได้หยุดอยู่กับที่ ฟางจื่อลู่รีบล้มตัวลงนอนทำเหมือนว่ายังหลับอยู่ทันที ไม่นานประตูรถม้าก็เปิดออกพร้อมกับร่างของบุรุษอ้วนท้วนและสูงใหญ่ “ยังไม่ตื่นอีกหรือ?” “คุณหนูนั่นใส่ยาลงไปเยอะหรือเปล่า?” ร่างของฟางจื่อลู่ถูกพวกมันพลิกตัวให้หงายขึ้น เพื่อตรวจสอบดูว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ “อย่างน้อยก็ยังไม่ตาย” “พักก่อนเถิด อีกนานกว่าจะถึงแดนเหนือ” ...แดนเหนือหรือ เหตุใดจึงพาข้าไปที่นั่นกัน... ฟางจื่อลู่เงี้ยหูฟังบทสนทนาของพวกบุรุษ สิ่งที่นางรับรู้ทำเอาหัวใจของนางเจ็บแปลบด้วยความเศร้าเสียใจ อีกทั้งยังมีความเจ็บแค้นเล็กน้อย ฟางจื่อลู่มิใช่สตรีโง่เขลา แม้จะรักและไว้ใจในมิตรภาพมากเพียงใด หากแต่การกระทำนี้นางย่อมรับรู้ หากมิใช่เรื่องจริงหลันหลี่น่ามิใช่จะออกตัวจัดการ นางเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว หากมีเรื่องให้หวาดหวั่นนางมักจะจัดการก่อนที่จะเกิดเรื่องเสมอ ยามนี้นางโดนสหายรักหักหลังเสียแล้ว หลันหลี่น่าเป็นบุตรสาวของรองผู้ตรวจการผู้มีหน้ามีตา อีกทั้งหลันหลี่น่ายังได้หมั้นหมายกับบุตรชายสกุลอื่นไปแล้ว หากมีเรื่องเสียหายเกิดขึ้นมิใช่เรื่องดี ทว่า... หลันหลี่น่าคิดว่าฟางจื่อลู่จะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปหรือ? นางที่รักตัดสินใจเลือกมิตรภาพมากกว่าความรักของบุรุษและสตรี ...นี่ข้ากำลังถูกพาไปที่ใด? แล้วเกิดอันใดขึ้นกัน... ฟางจื่อลู่สังเกตโดยรอบ นางเห็นว่ายามนี้น่าจะเป็นตอนกลางคืน หากเป็นตอนกลางวันแม้รถม้าที่นางนั่งอยู่นี้จะไม่มีช่องว่างให้มองเห็นด้านนอก หากแต่จะต้องมีแสงลอดผ่านช่องไม้มาบ้าง แต่นี่ไม่มีแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งล่าสุดนางไปร่วมงานเลี้ยงชุดนอนกับหลันหลี่น่า นั่นหมายความว่ายามนี้ยังไม่ผ่านคืนนี้ไป หากผ่านค่ำคืนนี้ไปแล้วนางยังไม่กลับบ้าน พี่ใหญ่และพี่หญิงของนางย่อมไม่อยู่เฉยแน่ ยังไม่รวมบิดาของนางที่เข้าขั้นหวงบุตรสาว หากรู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับฟางจื่อลู่ แม้ตำแหน่งจะด้อยกว่า เป็นเพียงพ่อค้าผู้หนึ่ง หากแต่เมื่อแตะต้องครอบครัวของตนย่อมสู้ไม่ถอย แต่ฟางจื่อลู่ไม่ต้องการให้สกุลฟางลุกขึ้นสู้เพราะนาง ฟางจื่อลู่รู้ดีว่าจะเกิดสิ่งใด และสูญเสียสิ่งใดบ้าง อีกอย่าง... เห็นแก่ความทรงจำดีๆ ที่ผ่านมา นางไม่อยากเอาเรื่องอันใด ใช่แล้ว นางมีจิตใจที่ดี ผู้คนมักเอ่ยกับนางเช่นนี้เสมอ ไม่นานรถม้าก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครา อิสตรีพยายามนึกคิดหาทางออก ทว่าช่างมือแปดด้านเหลือเกิน ยามนี้นางถูกมัด แม้ว่าปากจะมิได้ถูกปิด ขามิได้ถูกมัด หากแต่จะกระทำสิ่งใดได้ในรถม้าที่กำลังวิ่ง และกลุ่มบุรุษรูปร่างสูงใหญ่ได้ล่ะ ไม่สิ นางไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับพวกเขา... นึกคิดได้ดังนั้นนางจึงพยายามหาทางแก้เชือกออก แต่มันก็ยากเหลือเกินสำหรับอิสตรีที่แรงน้อย อีกทั้งยังไม่มีวิชาความรู้ในด้านนี้ ในตอนนั้นเองที่นางเหลือบไปเห็นตะปูซึ่งโผล่พ้นออกมา จึงเอาร่างของตนเองถูกไถกับตะปูเพื่อให้เชือกขาด ใช้เวลานานแต่ฟางจื่อลู่ไม่ย่อท้อ แม้แขนของนางจะได้รับบาดเจ็บก็ตาม แต่ร่างกายบาดเจ็บสามารถรักษาได้ หากตายไปนั้นมิอาจย้อนคืนสิ่งใดได้อีกแล้ว จนในที่สุดความพยายามของนางประสบผลสำเร็จ ไม่รอช้ารีบเปิดประตูรถม้าแล้วกระโดดอกไปทันที ร่างของนางกลิ้งเข้าไปในป่า ตกลงไปทางลาดชันจนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล รถม้ายังคงวิ่งต่อไปโดยไม่รู้ว่าฟางจื่อลู่หนีออกมาแล้ว แม้จะบาดเจ็บ หากแต่นางมีความหวังในการมีชีวิตรอด ฟางจื่อลู่หยัดกายขึ้นแล้วเดินกลับไปทางเดิม ในยามต่อมาประมาณหนึ่งเค่อ[1] ฟางจื่อลู่ก็ได้ยินเสียงรถม้า คราแรกนางนึกคิดว่าเป็นรถม้าของบุรุษผู้ที่ลักพาตัวนางนาง หากแต่เมื่อเงี้ยหูฟังดีๆ กลับพบว่าเป็นเสียงรถม้าที่มาจากอีกทางหนึ่ง สตรีตัวน้อยแอบอยู่หลังต้นไม้ และคิดว่าหากรถม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้จะต้องขอความช่วยเหลือ หากทว่า... ปัก! ลูกธนูกลับพุ่งเฉียดต้นไม้ที่นางอยู่พร้อมกับคมดาบเย็นๆ ที่ลำคอ “ผู้ใดส่งเจ้ามา!” น้ำเสียงอันน่าเกรงขาม ร่างกายของนางสั่นระริกอย่างไม่รู้ตัว นางขยับกายเล็กน้อยเพื่อหันไปมองหน้าผู้ที่ถือคมดาบ และนั่นทำให้คมดาบบาดผิวนางจนเกิดความเจ็บปวดขึ้น น้ำเหนียวหนืดไหลออกจากลำคอเป็นทาง “หากไม่ตอบ ข้าก็ไม่บังคับ” “ชะ ช้าก่อนเจ้าค่ะ ขะ ข้า... ฟางจื่อลู่ บุตรสาวสกุลฟางเจ้าค่ะ” “บุตรสาวสกุลฟาง เหตุใดจึงมาอยู่ในที่แบบนี้?” “ขะ ข้า... ลดดาบลงก่อนได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าหวาดกลัวจนเรียบเรียงถ้อยคำมิได้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ยามนี้ใกล้ร่ำไห้อยู่รอมร่อ หากแต่นางไม่ต้องการเสียน้ำตาแม้แต่หยดเดียว ไม่อยากให้ผู้ใดเห็นว่านางเป็นอิสตรีอ่อนแอ ใช้น้ำตาเข้าแลกกับความน่าสงสาร ดาบยังคงจ่อที่ลำคอของนาง ฟางจื่อลู่พยายามข่มใจมิให้หวาดกลัว เมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะลดดาบลงเลย ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า... “ข้าโดนสหายทรยศ ถูกวางยาและพาขึ้นรถม้ามา เส้นทางไปที่ใดมิอาจรับรู้ชะตากรรม จึงตัดสินใจกระโดดลงจากรถม้ามาเจ้าค่ะ” “กระโดดลงหรือ?” เจ้าของเสียงทุ้มและเย็นยะเยือกเอ่ยขึ้น ก่อนที่ดาบเล่มนั้นจะถูกลดลง ดวงตาสำรวจมองร่างกายของนางก็พบว่าอาภรณ์เปื้อนดิน เป็นหลักฐานว่าสิ่งที่นางเอ่ยนั้นมิใช่เรื่องโป้ปด ฟางจื่อลู่ถอนหายใจก่อนจะใช้ฝ่ามือเล็กของตนสัมผัสบาดแผลบริเวณลำคอ ...เลือด ข้าว่าแล้ว เช่นนี้ท่านพ่อกับท่านพี่คงเอาเรื่องสกุลหลันเป็นแน่ แม้ว่านางจะสมควรโดนก็ตาม... “หันหน้ามาหาข้า” สตรีตัวน้อยทำตามอย่างว่าง่าย อีกทั้งนางเองนั้นใคร่รู้เช่นกันว่าบุรุษผู้นี้คือผู้ใด หากนางรู้จักจะได้กระทำตนได้อย่างเหมาะสม ทว่าทันทีที่ดวงตาคู่งามได้เห็นบุรุษที่อยู่ตรงหน้าของตนแล้ว... ดวงตาคู่งามเบิกกว้างราวกับเห็นผี!! ...อันเนี่ยนเจิน!!... บุรุษผู้ซึ่งรังเกียจเดียดฉันอิสตรี จนเคยเกิดข่าวลือไปทั่วทั้งแคว้นว่า อันเนี่ยนเจินผู้นี้ชื่นชอบบุรุษด้วยกัน! เท่านั้นยังไม่พอ ด้วยมนุษย์สัมพันธ์อันไม่ดี พูดจาโผงผางไม่สมกับตำแหน่ง หรือที่เรียกว่าพูดไม่คิด เรียกได้ว่าสิ่งเลวร้ายที่มนุษย์สามารถพรรณาได้มันอยู่ในบุรุษผู้นี้เสียทั้งหมด ไม่สมกับมีนามว่าเนี่ยนเจิน[2]เลยสักนิด [1] 1 เค่อ = 15 นาที [2] เนี่ยนเจิน = ซื่อสัตย์
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD