ตอนที่ 10
นางเป็นของข้า
ไม่ทันที่กระสุนลงอาคมจะพุ่งไปถึง ร่างเสมือนจริงของจเรก็กลายเป็นควันขาวลอยละล่องดั่งอากาศธาตุ ทำให้กระสุนตกร่วงหล่นลงยังพื้นเรือนที่เย็นเฉียบ ก่อนที่ ไกรศร จะคำรามลั่นและกัดฟันกรอดด้วยแรงโทสะ
"ไอ้เหี้ยจเร มึงกล้ามาเหยียบถึงถิ่นกูเลยรึ? แดกลูกปืนไปเลยมึง"
เปรี้ยงๆๆๆๆ
เสียงปืนดังขึ้นต่อเนื่องอีกหลายนัด จากปากกระบอกปืนยาวที่พ่อครูไกรศรเล็งไปยังนอกหน้าต่าง เสียงหัวเราะกึกก้องของ จเร วนเวียนห่างออกไป
"อย่าใจร้ายกับหลานเขยเลยท่านพ่อปู่ ไม่กลัวหลานสาวเป็นหม้ายรึยังไง?"
ถ้อยคำนั้นทำสองแก้มของ การะเกด ผ่าวร้อนจนแดงระเรื่อถึงใบหูทว่าก็ยังคงชะเง้อคอมองตามกลุ่มควันขาวนั้นเป็นระยะ ขณะที่พ่อครูไกรศรและนายฮ้อยเพลิง รีบกรูลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว
"ไอ้เหลืองปฏิบัติการจับมันไว้ให้ได้มันเป็นจิตเสมือนจริง"
เอ่ยไม่ทันจะขาดคำ ร่างของไอ้เหลืองก็แปลงกายเป็นเสือสมิง และรีบกระโจนตามกลุ่มควันขาวนั้นอย่างรวดเร็ว เสียงปืนดังรัวๆเป็นระยะ พร้อมเสียงร้องโหยหวนของเหล่าสัมภเวสีที่ดูแลตามแนวแถบรั้วเรือน
"ไอ้ผีเรือนพวกนี้กูเลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ ปล่อยให้ไอ้เวรนี่มาเหยียบจมูกกูถึงเรือน เดี๋ยวกูจับถ่วงน้ำให้หมดเลย"
นายฮ้อยเพลิง ตะโกนด่ากราดอย่างโมโห ขณะนั่งลงขัดสมาธิและร่ายวิชาถอดจิตเพื่อจะติดตามกลุ่มควันนั้นไป แต่พ่อครูไกรศรปรามไว้ก่อน
"ไม่ต้องดอกท่านเพิง จิตมันไม่ธรรมดายังไงก็ตามมันไม่ทัน ไอ้จเรมันได้เข้าไปในบ่วงของกงล้อเวลาวนเวียนอยู่ในนั้นหลายร้อยปี ทำให้วิชาของมันแกร่งกล้ายิ่งนัก ข้าจะลองตามมันไปเจรจาอย่างสันติ"
ไกรศร นั่งรอขัดสมาธิพึมพำคาถาอยู่เพียงครู่ นั่นทำให้ทุกคนบนเรือนตระหนักดีว่าควรจะต้องหยุดทุกอย่างเพื่อเฝ้าร่างต้นของพ่อครูไกรศรให้ดีที่สุด ส่วน การะเกด นั้นได้แต่ยืนหันรีหันขวางและปรี่เกาะยังขอบหน้าต่างจ้องมองไปยังควันขาวท่ามกลางความมืดที่เลือนหายไปจนลับตา
ความรู้สึกสับสนมากมายปรี่แล่นขึ้นมาในใจของเธอ
เมื่อสักครู่ ..กระสุนลงอาคมจะโดนร่างเสมือนจริงของเขาไหมหนอ? หญิงสาวได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ
.
.
เสียงฝีเท้าที่ดังอย่างสม่ำเสมอตามทางมืดสนิทจนแทบมองไม่เห็นร่างหนาของอีกบุรุษที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำ ทว่า ไกรศร ทราบดีว่านั่นคือใคร เขาหยุดห่างจากอีกฝ่ายระยะแปดช่วงตัว เป็นระยะปลอดภัยสำหรับการหลบหลีกหากเกิดสิ่งใดขึ้น จะสามารถดึงจิตตนกลับร่างได้ทันท่วงที
“กูมีเวลาไม่ถึงห้านาทีซินะ”
อะไรบางอย่างทำให้ ไกรศร เอ่ยออกไปเช่นนั้น ด้วยรังสีที่แผ่ซ่านมาจากคนตรงหน้านั้นรุนแรงจนรับรู้ได้ถึงความแก่กล้าของวิชาอาคม
“ใช่แล้วพี่ชาย”
จเร หันกลับมามองก่อนที่คิ้วหนาจะยกขึ้นเล็กน้อย “ไม่ใช่ซิต้องเรียกว่าท่านปู่ถึงจะเหมาะ มิเช่นนั้นจะถือว่าตีเสมอผู้ใหญ่”
“ไอ้เหี้ยจเร!!”
พ่อครูกัดฟันกรอด “ถึงมึงจะเคยทำระยำกับกูแค่ไหน ไม่เคยมีครั้งไหนที่กูอยากจะฆ่ามึงให้จมตีนเท่าครั้งนี้เลย มึงทำแบบนั้นกับการะเกดทำไม? ทำลายหลานกูทำไม?”
“ใจเย็นก่อนพี่ชาย”
ร่างหนาหันกลับมาเผชิญหน้า และไกรศรก็สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายปกปืนสั้นเหน็บไว้ที่เอวด้วย คาดเดาว่าอาจเป็นปืนที่ใช้สำหรับกระสุนลงอาคมเป็นแน่ เพราะที่ผ่านมาคนอย่างมันแทบจะไม่พกปืนเลยสักครั้ง
“ทำเยี่ยงนี้ ยังจะให้กูใจเย็นอีกรึ?”
“ข้าแค่ช่วยการะเกด ไม่ให้ร่างของนางบริสุทธิ์เพื่อรอดพ้นจากสมุนของไอ้ผรู่ข่าย ลืมแล้วรึไง? ว่าพวกมันแสวงหาอะไรอยู่ และมีเพียงข้าคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยนางได้”
ไกรศร ชะงักเล็กน้อย
“พูดเหี้ยอะไรของมึง ทำร้ายหลานสาวกูแล้วมาพูดแบบนี้รึอย่าคิดว่ามึงฝึกปรือวิชาแก่กล้าในกงล้อเวลาได้แล้วกูจะหวาดกลัวมึง ต่อให้สุดหล้าฟ้าเขียวกูก็ตามล่ามึงได้”
“หึ! สมแล้วที่เป็นพี่ชายข้า”
จเร หัวเราะร่วนก่อนจะเบาเสียงลงเล็กน้อย “ไม่ซิความจริงข้าไม่ใช่สายเลือดเดียวกับท่านด้วยซ้ำ ข้าก็แค่ลูกกำพร้าที่ท่านลุงเพลี๊ยะ เก็บมาเลี้ยงเท่านั้น เหตุนี้เองพี่ถึงไม่เคยนับว่าข้าเป็นน้อง”
ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึไม่? แต่ไกรศรจับกระแสความเศร้าสร้อยในถ้อยคำนั้นได้
“ที่กูไม่นับว่ามึงเป็นน้อง มิใช่เพราะรู้ว่ามึงกับกูไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดดอก แต่เพราะนิสัยเหี้ยๆของมึงนี่แหละ”
นานเท่าใดที่เด็กคนหนึ่งเติบโตมาและเดินคนละเส้นทางกับเขา และในเวลาต่อมาเขาก็ได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคนตรงหน้าไม่ได้มีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือดกับเขาเลยสักนิด
“ข้าไม่เคยทำร้ายใคร โดยไม่มีเหตุผล”
จเร เบี่ยงหลบสายตาเล็กน้อย “และครั้งนี้ก็เช่นกันข้าไม่ได้ทำร้ายนาง ขอให้รู้ไว้ว่าคนที่ท่านควรระวังไม่ใช่ข้าและภัยครั้งใหญ่กำลังมาถึงนางหากท่านไม่ไว้ใจข้า”
“หมอสรวงทำนายไว้ว่าบุรุษกล้าแกร่งจากบูรพาทิศจะช่วยนางได้ และกูก็เตรียมการไว้แล้ว มึงจะมาแส่ทำไม?”
“หึ!! คิดว่าไอ้กำนันสิงห์หน้าจืดนั่นจะทำอะไรได้รึ?”
จเร แค่นเสียงสูง “มันแค่ฝึกอาคมจากท่านได้แค่ไม่กี่บทถึงตัวเลขตกฟากจะตรงตามตำราของหมอสรวง แต่ท่านพี่ลืมแล้วรึ?ว่าข้าเองก็บุรุษจากบูรพาทิศ”
“.......”
“อีกอย่าง การะเกดเป็นหลานของท่านแค่สถานะของกายหยาบเท่านั้น แต่จิตของนางที่เดินทางมาร้อยพันปีเป็นของข้า และเพียงข้าเท่านั้นที่จะเป็นคู่ครองของนาง”
ถ้อยคำหนักแน่นนั้น ทำให้ ไกรศร ตาเบิกโพลง
“มะ..มึง หมายความเช่นไร?”
จเร จ้องมองเขานิ่งก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“รู้ไหม? มันทรมานมากกับการถูกดึงจิตด้วยการกักขังสู่หุบเหวของความมืดและลึกที่สุด แม้สว่างเพียงนิดก็ไม่สามารถสาดส่องไปถึงได้ ข้าติดอยู่ในนั้นวนเวียนหลายร้อยพันชาติฝึกปรือจิตตัวเอง และแสงสว่างเดียวที่ข้าได้พบคือ....”
“เฮือก!!”
“พ่อครูๆ ๆ”
ไอ้เข่งกับไอ้กล้า ปรี่เข้ามาจับร่างของ พ่อครูไกรศร ก่อนจะเลื่อนขันน้ำมนต์มาวางไว้ให้ตรงหน้า เปลือกตาหนาลืมตาขึ้นก่อนจะมองไปรอบด้าน และตระหนักได้ทันทีว่าจิตของตนถูกดึงกลับมายังร่างต้นเรียบร้อยแล้ว
การะเกด รีบปราดเข้ามาใกล้และย่อกายลงตรงหน้าผู้เป็นตา ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
“เป็นไงบ้างจ้ะท่านตา ...จเรเขาบาดเจ็บรึไม่?”
***************