จิตที่ผูกพัน

1553 Words
ตอนที่ 8 จิตที่ผูกพัน แม้ว่าตอนนี้ทาง พ่อครูไกรศร และ จำปา จะมาประจำที่เรือนใหญ่รัตนบุรีของพ่อเพลิง และนำคนมาประจำการรอบเรือนอย่างมากมาย แต่การะเกด ก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ด้วยความคิดและความรู้สึกของเธอ ยังคงวนเวียนอยู่กับคำพูดและสัมผัสของผู้ชายคนนั้น และสิ่งนั้นได้ฝังอยู่ในโสตประสาทของเธอทั้งยามหลับและยามตื่น บางคืนเธอจะฝันว่าตัวเองไปยืนอยู่ที่ใดที่หนึ่ง รอบด้านเต็มไปด้วยความมืดสนิทที่มองไม่เห็นอะไรเลย และไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นที่ไหน เธอเดินไปเรื่อย ๆ เดินจนเหนื่อยและส่งเสียงเรียกหาคนรอบด้านแต่ไม่พบใครสักคน สถานที่ที่เธอฝันเห็นนั้น อยู่ในความมืดและเงียบสนิท ที่ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย มีเพียงเสียงลมหายใจของเธอที่เด่นชัดที่สุดในความเงียบนั้น นี่เป็นความรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุดในหัวใจ นับตั้งแต่เธอเกิดมาจนเติบโตเป็นสาววัยสะพรั่ง เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเหมือนถูกดึงจิตของตัวเองไปยังที่ใดที่หนึ่งโดยใครคนหนึ่ง และเสียงของใครคนนั้นคอยกระซิบอยู่ข้างหูเธอตลอด "การะเกด เจ้าคือเมียของข้า!" "เฮือก!!" "ฝันร้ายอีกแล้วเหรอลูก" ธารทิพย์ ตะโกนถามอยู่ด้านนอกอย่างร้อนรน ก่อนจะเปิดประตูเข้ามา แม้เมื่อตอนหัวค่ำทาง เพลิง ผู้เป็นสามีและไกรศรผู้เป็นพ่อ จะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเพื่อเรียกขวัญลูกสาวสุดที่รักให้กลับสู่เรือนแล้วก็ตาม แต่จิตที่ยังอ่อนแอและกระจัดกระเจิงก็ยังคงทำให้ลูกสาวฝันในสิ่งที่รบกวนจิตใจจนต้องสะดุ้งตื่นมากลางดึกเช่นนี้ "จ๊ะ หนูฝันว่าหนูเดินไปที่ไหนก็ไม่รู้มันมืดและเงียบมาก หนูวิ่งจนเหนื่อยแต่ก็เหมือนวนอยู่ตรงนั้นจนสะดุ้งตื่น" การะเกด โผเข้ากอดและซุกหน้ายังอกผู้เป็นมารดา พร้อมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงสั่นระริก "ก็แค่ฝันนะลูก จะไปสนใจอะไรจิตของเรามันก็เดินทางไปได้ทั่วนั่นแหละ สำคัญที่ตอนนี้ร่างกายของเราอยู่ตรงนี้ พ่อกับแม่ก็ยังอยู่กับหนูไม่ได้ห่างไปไหนไม่มีใครทำอันใดหนูได้หรอก อย่าได้กังวลเลย" คำบอกของแม่ทำให้การะเกดโอบกอดอีกฝ่ายแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม "ตาบอกว่าแม่เป็นหญิงข้ามภพใช่ไหมจ้ะ โลกข้างหน้าเป็นยังไงเหรอ? แล้วทำไมแม่มาเจอพ่อถึงไม่อยากจะกลับไปยังโลกที่แม่เคยอยู่?" เธอเอ่ยถามอย่างที่ใจสงสัยและอยากรู้มานาน แม่ไม่ค่อยเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่ซับซ้อนนี้ให้ฟังเพียงแต่พูดถึงสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจและวิถีที่ควรจะปฏิบัติตัวว่าควรจะทำอย่างไร เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต ทั้งเรื่องของระบบการปกครอง การใช้ชีวิตของผู้คนและสิ่งเหล่านั้นแหละที่ทำให้ครอบครัวของเธอทำธุรกิจค้าไม้และอื่นๆจนร่ำรวยเพราะวิสัยทัศน์ของแม่ธารทิพย์ที่มองเห็นอนาคต "เพราะความรักไงลูก เพราะว่าแม่รักพ่อ ความรักคือสิ่งเดียวที่เปลี่ยนทุกสิ่ง" ความรักอย่างนั้นเหรอ? มันยิ่งใหญ่เพียงนั้นเชียว มีพลานุภาพถึงขั้นเปลี่ยนความคิดชีวิตและอนาคตของคนอีกหลายคนเชียวรึ "แม่เก่งจัง หนูก็จะเข้มแข็งเหมือนแม่จ้ะ" "นอนพักผ่อนเสียเถิดคนเก่งของแม่ แม่รักลูกนะ" "หนูก็รักแม่จ้ะ" . . กำนันสิงห์ ยังคงแวะเวียนมาหาว่าที่เจ้าสาวของตัวเองที่เรือนของท่านเพลิงอยู่แทบทุกวัน ทั้งมีข้าวของมากมายมาฝากทั้งของกินของใช้ แล้ววันนี้เห็นว่าอาการของคนรักเริ่มดีขึ้น เขาเลยชวนหญิงสาวมาเดินเล่นบริเวณริมมูลไม่ห่างจากเรือนใหญ่มากนัก ด้วยต้องการให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากที่อุดอู้อยู่ในบ้านมาหลายวัน "ช่วงนี้เป็นช่วงน้ำหลาก อีกไม่กี่สัปดาห์ก็คงจะเข้าช่วงต้นฤดูหนาวแล้ว อย่างไรเอ็งรักษาสุขภาพด้วยแล้วกัน อย่าได้คิดอะไรมากมายเดี๋ยวจะพาลไม่สบายไปกันใหญ่" เขาบอกกับหญิงสาวด้วยความห่วงใย สายลมเย็นที่พัดผ่านผิวแม่น้ำมูลนั้น ทำให้ทั้งคู่รู้สึกสดชื่นจนต้องอมยิ้มออกมาอย่างผ่อนคลาย "ขอบคุณพี่สิงห์มากจ้ะ ฉันเกรงใจมากเลยที่มีของฝากของกินต่างๆมาให้เยอะๆทุกวัน ฉันแทบไม่มีอะไรตอบแทนให้พี่" "แค่เอ็งมีรอยยิ้มและพูดคุยกับพี่ด้วยความสบายใจ แค่นั้นก็คือกำลังใจที่ได้ยิ่งใหญ่ของพี่แล้วล่ะ" กำนันสิงห์ ย่อกายลงนั่งข้างๆกับคนรักใต้ต้นมะขามใหญ่ และ การะเกด ก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นวาบที่สัมผัสอยู่บริเวณเนื้ออ่อนตรงลำคอ เมื่อก้มลงมองจึงรู้ว่าเป็นสร้อยทองที่มีจี้ตราตระกูลขุนเมืองท่าตะมะสัญลักษณ์เก่าแก่ของครอบครัวของกำนันสิงห์ "นี่อะไรจ๊ะ?" หญิงสาวเงยหน้าถามอย่างฉงน แม้ว่าจะได้เครื่องประดับทั้งทองและอัญมณีล้ำค่ามากมายในวันหมั้น และบางส่วนกำนันสิงห์เตรียมไว้ให้เธอในวันแต่งงานเรียบร้อยแล้ว "เป็นสร้อยประจำตระกูลของพี่ พี่อยากจะมอบให้กับผู้หญิงคนที่พี่รักที่สุดในชีวิต นอกเหนือจากสินสอดงานแต่ง มันเป็นสัญลักษณ์แทนตัวพี่ ถึงแม้เราจะยังไม่ได้แต่งงานกัน แต่ให้รู้ว่าพี่จะคอยอยู่ข้างๆเอ็งเสมอ" ชายหนุ่มสวมตะขอสร้อยให้เธอจากด้านหลัง ก่อนจะดึงมือนิ่มมาบีบเบาๆ ดวงตาคมเข้มทอแสงอย่างอ่อนโยนเมื่อจ้องมองคนตรงหน้า "ฉันเกรงใจพี่จังเลยจ้ะ ฉันเกรงว่าตัวเองจะไม่เหมาะที่จะรับของมีค่าและของสำคัญพวกนี้ของพี่" การะเกดเอ่ยเสียงอ่อน ขณะดึงมือกลับเพื่อที่จะปลดตะขอสร้อยออก ทว่าอีกฝ่ายรั้งมือปรามเธอไว้ พร้อมบอกด้วยน้ำเสียงเว้าวอน "ได้โปรดรับไว้เถอะ อย่าถอดเลยไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เอ็งก็คือคนที่สำคัญสำหรับพี่เสมอ ถ้าเอ็งใส่สร้อยเส้นนี้ไว้พี่จะได้สบายใจ อย่ากังวลใจเลยมันเป็นของเอ็ง" "พี่สิงห์" ถ้อยคำมากมายเหมือนจะจุกอยู่ในลำคอของ การะเกด ยิ่งเห็นท่าทีของพี่ชายที่แสนดีตรงหน้าเธอก็ยิ่งละอายใจ ทั้งอยากจะให้เขาเกลียดเธอมากกว่าแล้วไปหาผู้หญิงคนอื่นแต่งงาน แต่ยิ่งเธอพูดอย่างไรก็เหมือนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเขาได้ ตูม!! “ว้าย!” จู่ ๆกิ่งมะขามใหญ่ด้านบนก็หักลงมาและบางส่วนฟาดลงไปยังริมน้ำจนซ่านกระเซ็น นั่นทำให้สองหนุ่มสาวผละร่างออกจากกันอย่างตระหนก ด้วยไม่คิดว่าไม่มีพายุลมฝนใดๆ เหตุใดกิ่งไม้ใหญ่ขนาดนี้ถึงหักลงมาได้ “เป็นไปได้ยังไงเนี่ย!” กำนันสิงห์ หันซ้ายแลขวาอย่างประหลาดใจ เมื่อมองกิ่งไม้ใหญ่ขนาดเท่าตัวคน หากเมื่อครู่หักมาฟาดโดนก้านคอสงสัยต้องได้ไปเฝ้ายมบาลเป็นแน่ เสียงนกนานาพันธุ์ส่งเสียงร้องกันอย่างซึ่งแซ่อยู่รอบด้านด้วยความตกอกตกใจ บางตัวกระพือปีกไปมาและบินวนเวียนอยู่อย่างนั้น นั่นยิ่งสร้างความฉงนให้กับทั้งคู่เป็นอย่างมาก การะเกดได้แต่หันมองไปรอบด้าน ด้วยรู้สึกถึงความผิดปกติอะไรบางอย่าง แต่ไม่อยากจะเอ่ยให้อีกฝ่ายไม่สบายใจ "งั้นเรากลับเรือนกันเถอะพี่ค่ำแล้ว พี่สิงห์เองก็ต้องขับรถกลับที่ท่าตะมะ เดี๋ยวมืดค่ำกว่านี้จะเดินทางลำบาก" "ดีเหมือนกันเอ็งจะได้พักผ่อนด้วย" . . กว่าจะทานมื้อเย็นเสร็จและจัดการอาบน้ำท่า พร้อมเข้าไปนั่งสมาธิในห้องพระ เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบห้าทุ่มแล้ว เรือนใหญ่เริ่มเงียบสนิท แม้จะมีเหล่ากุลาคอยดูแลอยู่ด้านนอก แต่ก็ยังคงเงียบสงบ จน การะเกด ได้ยินแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องกล้องระงมไปทั่วบริเวณ ร่างระหงในชุดผ้าไหมขิด ถือถาดใส่ดอกลั่นทมเดินเปิดประตูไม้เข้ามาในห้องนอนตัวเอง แม้ตอนนี้บ้านของเธอจะมีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่การะเกดก็ยังนิยมจุดโคมตะเกียงเล็กๆบริเวณมุมห้อง แสงสลัวของมันดูแล้วอบอุ่นและสบายใจกว่าแสงเจิดจ้าจากไฟนีออนที่เธอยังไม่คุ้นชินเท่าใดนัก หญิงสาววางถาดดอกไม้บนโต๊ะไม้ประดู่มุมห้องก่อนจะถอดผ้าคลุมออกจากร่างเพื่อจะเดินไปยังเตียงนอน ทว่าเธอก็ต้องตัวชาวาบ เหมือนดั่งโดนมนต์สะกด เมื่อเห็นร่างหนาของใครคนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงนอนของเธอ ใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มจ้องมองเธออยู่แล้ว มุมปากหยักได้รูปยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เมื่อมองจ้องประสานกับสายตาเธอ ริมฝีปากของการะเกดเม้มเข้าหากันแน่น ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้ม " จะ ...จเร แกเข้ามาได้ยังไง!!" ***************
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD