บทที่ 3 ทานข้าวร่วมโต๊ะ
ฉันนั่งตัวตรงอยู่ที่โต๊ะอาหารขนาดใหญ่ที่จัดไว้อย่างหรูหรา บรรยากาศในห้องเงียบกริบจนน่าอึดอัด มีเพียงเสียงของช้อนส้อมกระทบจานที่ดังเป็นระยะเท่านั้น
สุธานั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามฉัน ข้าง ๆ เขามีคุณหญิงศรีสุดานั่งคุมเชิงด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย แต่สายตาของเธอยังคงมองฉันอย่างไม่ค่อยไว้วางใจนัก ส่วนฉัน…พยายามทำตัวสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้
ทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปอย่างราบรื่น (ถึงจะมีบรรยากาศเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากสุธาก็เถอะ) แต่แล้ว…
แกร๊ก!
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังขึ้น พร้อมกับร่างของหญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้สีขาวสะอาดตาที่เดินเข้ามาอย่างสง่างาม
เธอเป็นผู้หญิงที่สวย หวาน และมีเสน่ห์ ดูบอบบางราวกับเจ้าหญิงที่ทุกคนต้องคอยปกป้อง
และเธอ…น่าจะเป็น “ไอรีน” คนที่ลินนาเคยผลักตกบันได
โอ้ ให้ตายสิ…สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปอีกแล้ว!
“ขอโทษนะคะที่มาช้า” เสียงของไอรีนหวานนุ่มชวนฟัง ก่อนที่เธอจะเดินไปหยุดข้าง ๆ สุธา “ฉันไม่คิดว่าคุณหญิงจะเชิญฉันมาทานข้าวด้วยกันจริง ๆ”
“ทำไมจะไม่เชิญล่ะจ๊ะ” คุณหญิงศรีสุดายิ้มบาง ๆ “เธอเองก็เหมือนคนในครอบครัวอยู่แล้วนี่”
ฉันกระพริบตาปริบ ๆ
เดี๋ยวนะ… เหมือนคนในครอบครัว?
ก่อนที่ฉันจะคิดอะไรต่อ ไอรีนก็หันมายิ้มให้ฉัน เป็นรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรแต่กลับให้ความรู้สึกแปลก ๆ
“คุณลินนา ไม่เจอกันแค่วันเดียว คุณดูสดใสขึ้นนะคะ”
ฉันยิ้มตอบกลับไปแบบขอไปที “เหรอคะ?”
“ค่ะ เมื่อวานคุณยัง…” ไอรีนเว้นวรรคเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ “ดูหงุดหงิดอยู่เลย”
โอ้โห… นี่แอบจิกฉันตั้งแต่ยังไม่ทันได้ตักข้าวเข้าปากเลยเหรอ?
ฉันยังไม่ทันจะตอบอะไร สุธาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่แฝงไปด้วยความเย็นชา
“เธอไม่ต้องฝืนยิ้มให้คนที่เกลียดเธอก็ได้ไอรีน”
ฉันชะงักไปนิดหน่อย แต่ก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
โอเค… นายเกลียดฉันมาก ฉันเข้าใจแล้ว ไม่ต้องย้ำก็ได้!
ฉันตักซุปเข้าปากอย่างใจเย็น พยายามไม่สนใจสายตาของทุกคนที่จ้องมาที่ฉัน โดยเฉพาะไอรีนที่ยังคงส่งรอยยิ้มหวานมาให้
“จริงสิคะคุณสุธา” ไอรีนหันไปพูดกับเขาเสียงอ่อนเสียงหวาน “ฉันอยากจะขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบากใจเรื่องวันก่อน”
“มันไม่ใช่ความผิดของเธอ” สุธาตอบทันที “คนที่ควรจะขอโทษคือคนที่ทำเรื่องนั้น”
ดวงตาคมของเขามองตรงมาที่ฉันโดยตรง
โอ้โห… ยกทุกความผิดมาให้ฉันเลยสินะ
ฉันวางช้อนลงช้า ๆ แล้วเช็ดปากด้วยผ้าอย่างสงบ
“ขอโทษนะคะที่ต้องขัดจังหวะ” ฉันพูดขึ้นเสียงเรียบ “แต่ขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ?”
ทุกคนเงียบไป ไอรีนกระพริบตาปริบ ๆ อย่างไร้เดียงสา ส่วนสุธาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อะไร?” เขาถามเสียงห้วน
ฉันเอนตัวพิงพนักเก้าอี้เล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่ไอรีน
“ฉันแค่สงสัยค่ะ” ฉันเอียงคอเล็กน้อย “ตอนที่ตกบันได คุณจำได้ไหมคะว่าเห็นฉันยืนอยู่ตรงไหน?”
ไอรีนดูเหมือนจะชะงักไปแค่เสี้ยววินาที ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ก็ตรงบันไดค่ะ… คุณมายืนตรงนั้นก่อนที่ฉันจะล้มลง”
“อ้อ…” ฉันพยักหน้าช้า ๆ “แล้วคุณมั่นใจเหรอคะว่าเป็นฉันที่ผลัก?”
ไอรีนกัดริมฝีปากแน่นเล็กน้อย
สุธาเองก็ดูเหมือนจะไม่ชอบคำถามของฉันสักเท่าไหร่ “นี่เธอกำลังพยายามปฏิเสธความผิดของตัวเองเหรอ?”
ฉันหันไปยิ้มให้เขา
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันก็แค่คิดว่าถ้าจะกล่าวหาฉัน ก็ขอหลักฐานให้ชัดเจนหน่อย” ฉันยิ้มบาง ๆ “ไม่อย่างนั้นจะดูเหมือนฉันโดนใส่ร้ายไปหน่อยนะคะ”
ไอรีนเผลอกำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว ส่วนคุณหญิงศรีสุดาก็หรี่ตามองฉันเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่าง
บรรยากาศในห้องอาหารเริ่มอึมครึมขึ้นมาทันที…
ให้ตายเถอะ นี่มันแค่ทานข้าวมื้อเดียวนะ! ทำไมฉันต้องมานั่งโดนไต่สวนด้วยเนี่ย!?
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงมาคุอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ฉันตั้งคำถามออกไป ทุกคนก็เงียบกันไปชั่วขณะ
ไอรีนกำมือแน่น แต่ยังคงพยายามรักษารอยยิ้มหวานบนใบหน้าไว้ ส่วนสุธา…ฉันสังเกตเห็นว่าเขาขมวดคิ้วมองฉันด้วยแววตาสงสัย
“คุณลินนา…” ไอรีนเอ่ยขึ้นเบา ๆ “คุณกำลังจะบอกว่าฉันโกหกเหรอคะ?”
โอ้โห นี่ใช้เทคนิคกลับคำพูดให้ฉันดูเป็นตัวร้ายเลยเหรอ?
ฉันกระพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหัวเราะเบา ๆ
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อยค่ะ” ฉันตอบเสียงเรียบ “ฉันก็แค่ถามว่าคุณมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ไหมว่าเป็นฉันที่ผลักคุณ”
ไอรีนเม้มริมฝีปากนิด ๆ ก่อนจะหันไปมองสุธาเหมือนต้องการให้เขาพูดอะไรสักอย่าง
และแน่นอน… สุธาไม่ทำให้ผิดหวัง
“เธอจะมาปฏิเสธอะไรตอนนี้ มันก็สายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” เขาพูดเสียงเย็น “ไอรีนได้รับบาดเจ็บ คนที่อยู่ตรงนั้นก็คือเธอ แล้วเธอยังจะมาเล่นลิ้นอะไรอีก?”
ฉันถอนหายใจเบา ๆ แล้ววางช้อนลง
“คุณสุธา…” ฉันเรียกชื่อเขาเต็ม ๆ บ้าง และได้ผลทันที เพราะเขาตวัดสายตามามองฉันทันทีที่ฉันพูดจบ
“อะไร?” น้ำเสียงห้วนและไม่พอใจมากกว่าก่อนหน้านี้อีก
ฉันประสานมือไว้บนตักแล้วส่งยิ้มบาง ๆ ให้เขา “คุณเชื่อเรื่องการไต่สวนในศาลไหมคะ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“ก็หมายความว่า…” ฉันเอนตัวเล็กน้อย “ต่อให้คนทั้งโลกคิดว่าฉันผิด แต่ถ้าไม่มีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนว่าฉันเป็นคนผลักไอรีนจริง ๆ ก็นับว่าเป็นเพียง ‘ข้อกล่าวหา’ เท่านั้น”
ฉันจงใจเน้นคำว่า ข้อกล่าวหา แล้วมองไปทางไอรีนเล็กน้อย
ดวงตาของไอรีนสั่นไหว แต่เธอก็ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้ได้อย่างดี
“แต่ทุกคนก็รู้กันอยู่แล้วว่าคุณไม่ชอบฉัน…” ไอรีนพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “คุณเองก็เคยพูดว่าฉันเป็นคนน่ารำคาญ”
โอ้โห… ฉันพูดแบบนั้นจริง ๆ เหรอ? หรือเธอกำลังดึงเอาความทรงจำของลินนาตัวจริงมาใช้กับฉันกันแน่?
ฉันแสร้งถอนหายใจออกมา “แล้วแค่นั้นมันหมายความว่าฉันต้องผลักคุณตกบันไดเหรอคะ?”
ไอรีนเงียบไปทันที
สุธาเองก็ดูเหมือนจะเริ่มไม่พอใจมากขึ้นไปอีก “เธอกำลังพยายามเล่นลิ้นให้ตัวเองพ้นผิดอยู่สินะ?”
“เปล่าค่ะ” ฉันหันไปยิ้มให้เขา “ฉันก็แค่ไม่อยากถูกกล่าวหาโดยที่ไม่มีหลักฐานก็เท่านั้น”
“แล้วเธอจะเอาหลักฐานมาจากไหน? คิดว่าเรื่องมันผ่านมาแล้วจะหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้หรือไง?”
“อืม…” ฉันแตะคางตัวเองเหมือนกำลังครุ่นคิด ก่อนจะมองไปที่คุณหญิงศรีสุดา “ในบ้านของคุณสุธามีกล้องวงจรปิดไหมคะ?”
แวบหนึ่งฉันเห็นสีหน้าของไอรีนซีดลง
คุณหญิงศรีสุดาหรี่ตามองฉัน “ทำไมเธอถึงถามแบบนั้น?”
“ก็แค่คิดว่าถ้าตอนนั้นมีกล้องวงจรปิด อาจจะทำให้เรื่องนี้กระจ่างขึ้นได้นะคะ” ฉันพูดยิ้ม ๆ “ถ้าฉันผิดจริง ฉันก็ยอมรับ แต่ถ้าฉันไม่ได้ทำล่ะคะ?”
ไอรีนกัดริมฝีปากแน่น ขณะที่สุธาเริ่มหันไปมองเธอด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความลังเล
“เรื่องกล้องวงจรปิด…” คุณหญิงศรีสุดาพูดช้า ๆ “บังเอิญว่าตรงจุดนั้นไม่มีติดเอาไว้”
“อ้อ แย่จังเลยนะคะ” ฉันยิ้มบาง ๆ “แสดงว่าคดีนี้… ไม่มีหลักฐานจริง ๆ น่ะสิ”
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบลงอีกครั้ง
ฉันยกแก้วน้ำขึ้นจิบพลางมองไอรีนที่พยายามฝืนยิ้ม และสุธาที่เริ่มมีท่าทางครุ่นคิด
ให้ตายสิ…มื้อนี้มันหนักหนากว่าที่คิดอีกนะเนี่ย!
บรรยากาศในห้องอาหารยังคงตึงเครียด เหมือนมีอากาศเย็นจัดแผ่กระจายไปทั่ว ทุกคนมองมาที่ฉัน ราวกับทุกคำพูดที่ฉันพูดออกไปกำลังทำให้สิ่งต่าง ๆ เริ่มพังทลายลง
แต่ฉันไม่ยอมแพ้
“ถ้าคุณไม่คิดจะติดกล้องวงจรปิด ก็อย่าหาว่าฉันไม่เตือนนะคะ” ฉันพูดเสียงเรียบ ขอโทษที่ต้องทำให้ทุกอย่างยุ่งเหยิง แต่เรื่องนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับฉันเลยจริง ๆ
ไอรีนมองฉันด้วยสายตาที่เหมือนจะอ่านไม่ออก แล้วหันไปมองสุธาอีกครั้งอย่างที่เคยทำบ่อยๆ ในช่วงที่ก่อนหน้านี้
สุธายังคงเงียบ ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยกช้อนขึ้นตักข้าวเข้าปากเหมือนพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสถานการณ์นี้
คุณหญิงศรีสุดานั่งนิ่ง เธอมองมายังฉันด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร
“คุณลินนา…” ไอรีนพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของเธอยังพยายามทำให้มันดูเหมือนเป็นการพูดคุยที่ไม่มีความขัดแย้ง แต่ฉันไม่เชื่อหรอก “คุณต้องการอะไรจากฉันเหรอคะ? หรือคุณจะทำตัวเป็นเหยื่อไปจนกว่าจะได้รับการพิสูจน์?”
“เหยื่อ?” ฉันถามเสียงเย็นๆ ไม่รู้จะหัวเราะดีหรือจะเคืองดี
“ใช่ค่ะ” ไอรีนยิ้มบาง “คุณหนูกำลังทำให้ทุกคนดูเหมือนคนเลวใช่ไหม?”
ฉันนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะตอบกลับไปอย่างมั่นคง “ฉันไม่ได้ทำให้ใครดูเลวหรอกค่ะ ถ้าใครไม่ทำผิด ก็ไม่มีใครจะมองว่าเป็นคนเลวได้”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที สุธาก็วางช้อนลงอย่างช้าๆ ก่อนจะหันไปมองฉันด้วยแววตาที่ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะถูกแผดเผา
“ลินนา…” เขาพูดเบาๆ “อย่าทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนเลย เรารู้กันอยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น”
เขาไม่ได้พูดคำไหนที่ชัดเจน แต่ก็ทำให้ฉันรู้ว่าเขากำลังบอกให้ฉันยอมรับในสิ่งที่เขาเชื่อ
“สุธา” ฉันเรียกชื่อเขาเสียงต่ำ “ถ้าคุณคิดว่าฉันทำจริง ๆ ก็ขอให้มีหลักฐานมาสนับสนุนก็แล้วกัน”
สุธาเงียบไป ครู่หนึ่งก่อนจะหลุบตามองจานอาหารของตัวเอง
“พอเถอะ” เขาพูดเสียงต่ำ “ไม่ว่าจะเป็นยังไง เราก็ต้องไปข้างหน้าให้ได้”
ไอรีนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สุธายิ้มหวานอย่างพยายามทำให้บรรยากาศดูดีขึ้น แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันแค่เพิ่มความตึงเครียดเข้าไปอีก
ฉันไม่ตอบอะไรกลับไป แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าฉันไม่มีที่ยืนในครอบครัวนี้จริง ๆ ฉันรู้ว่ามันจะต้องมีการหักเหในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้ ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาทำให้ฉันกลายเป็นผู้ร้ายทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด
การทานข้าวในวันนี้กลายเป็นการเผชิญหน้าที่ทุกคนในห้องจะไม่มีวันลืม และฉันก็แน่ใจว่า มันยังคงไม่จบแค่นี้
ฉันยังต้องสู้ต่อไป…