เกือบทั้งสัปดาห์ที่จันจ้าวถูกพิษไข้เล่นงานให้นอนซมอยู่ห้องเพียงลำพัง มันคงเป็นข้อเสียของการอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครมาคอยดูแลยามเจ็บป่วยจนต้องรอให้หายเอง
แอบเศร้าใจอยู่เหมือนกัน..
แต่สุดท้ายเจ้าตัวก็ขุดสังขารขึ้นมาแต่งตัวเตรียมออกไปข้างนอก เหตุมาจากเพื่อนสนิทอย่างน้ำอิงโทรมานัดให้ไปทานข้าวด้วยกัน
ร้านอาหารย่านใจกลางเมืองคือแหล่งนัดพบปะของสองสาว เจ้าของแก้มขาวอมชมพูในชุดเดรสกระโปรงดูสดใสเดินเข้าไปในร้าน ก่อนสายตาจะหันไปเห็นน้ำอิงโบกไม้โบกมือให้อยู่พอดี
จันจ้าวระบายยิ้มกว้างจนตาหยีลง พลางโบกมือกลับแล้วเดินลงไปนั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับอีกฝ่าย
ใบหน้าสวยเปื้อนรอยยิ้มหวาน รู้สึกดีที่ได้ออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง ขณะกวาดสายตามองไปรอบบริเวณร้านอาหารที่มีโซนบาร์เครื่องดื่มดึงดูดสายตาอยู่กลางร้าน
“แกดีขึ้นหรือยังเนี่ย หน้าตาดูไม่ค่อยสดชื่นเลย” น้ำอิงถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ดีขึ้นแล้ว แค่ยังปวดหัวอยู่นิดหน่อย แต่กินยาเดี๋ยวก็หาย” จันจ้าวตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส
“ไหวแน่นะ”
“ไหวอยู่แล้ว”
พูดจบเธอก็คลี่ยิ้มกลบเกลื่อนอาการป่วยที่ยังซ่อนเร้นอยู่ พลางใช้หลังมือแนบข้างแก้มอุ่นแล้วยู่ริมฝีปากเข้าหากันเล็กน้อย
“ว่าแต่แกยังอยากได้คนช่วยติวเคมีกับฟิสิกส์อยู่มั้ย” น้ำอิงพูดพลางหยิบเมนูอาหารขึ้นมาเปิดดู ทำเอาคู่สนทนาตาเป็นประกายทันที
“อยากได้สิ แกติดต่อได้เหรอ”
“อื้ม เพิ่งได้คอนแทคจากพี่คิรินทร์มา”
“พี่คิรินทร์นี่ใครอะ เพื่อนพี่ชายแกมั้ย”
“ใช่ แล้วเขาก็เป็นเจ้าของร้านอาหารที่นี่ด้วย”
“โห เจ้าของร้านที่นี่เลยเหรอ”
จันจ้าวอ้าปากค้างขณะเงยหน้ามองไปรอบบริเวณร้านอีกครั้ง ด้านในตกแต่งอย่างหรูหราและมีบาร์สำหรับสายดื่มให้นั่งชิลล์ บรรยากาศชวนให้ผ่อนคลาย ท่ามกลางเสียงเปียโนที่ดังคลออย่างโรแมนติก
“แล้วฉันจะติดต่อคนช่วยติวได้จากที่ไหน” เธอถามต่อ มือก็หยิบเมนูขึ้นมาพลิกอ่านดูไปพร้อมกัน
“ฉันนัดไว้ให้แล้ว เดี๋ยวอีกสักพักพี่เขาน่าจะมาถึง”
“นัดไว้เลยเหรอ”
“ก็ต้องนัดเลยสิ แกจะได้เลิกกังวลวิชาที่ไม่มั่นใจสักที”
ดวงหน้าหมดจดระบายยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะคว้ามือของน้ำอิงมาจับไว้ด้วยความดีใจ จนเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
การสอบในรอบนี้จริงจังกว่าครั้งไหน แต่เธอดันเป็นพวกไม่มั่นใจในตัวเองว่าจะเก่งพอสู้คนอื่นได้หรือเปล่า ถึงอยากได้ใครสักคนคอยช่วยทบทวนบทเรียนให้
ทุ่มเทอย่างหนักก็เพื่อชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย..
“แกนี่รู้ใจฉันจริง ๆ เลย ตอนแรกฉันโคตรกังวลเพราะป่วยจนอ่านหนังสือได้ไม่ดีเท่าที่ควร ตอนนี้ค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อยแล้ว” เธอว่าแล้วถอนหายใจพรวดออกมาอย่างโล่งอก
“เรื่องแค่นี้เอง ฉันทำให้แกได้อยู่แล้ว”
“ฮือ ขอบคุณน้าน้ำอิง”
“รู้แล้วน่า เรามาสั่งอาหารระหว่างรอพี่เขาดีกว่า”
ระหว่างที่นั่งรออาหาร จันจ้าวก็หันมองไปเรื่อยเปื่อย ก่อนสายตาของเจ้าตัวจะเหลือบไปเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินตรงเข้ามา พลันเรียวคิ้วก็เลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่อีกฝ่ายสาวเท้าเข้ามาใกล้ทุกที
นั่นมัน พี่ลูกอมคนนั้นนี่
ชานชวินทร์..
ชื่อของเขาผุดแทรกเข้ามาในหัวทันทีที่เห็นหน้า ภาพเหตุการณ์ในอดีตฉายเป็นฉากขึ้นมาในความทรงจำ จนเธอเผลอจ้องมองทุกการเคลื่อนไหวราวกับโดนสะกด
“ฉันอยากซื้อกล่องสุ่มคอลใหม่อันนี้อะ แกไปเป็นเพื่อนหน่อยดิจ้าว”
“.....”
“เนี่ย อันนี้โคตรน่ารักเลย”
น้ำอิงเงยหน้าจากมือถือหลังพูดด้วยแล้วไม่ได้รับการตอบกลับ พอเห็นว่าคนตรงหน้ากำลังนั่งเหม่อเธอเลยขยับสายตามองตาม ก่อนจะพบเข้ากับเจ้าของใบหน้าคมคายที่เดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะพอดี
จันจ้าวกะพริบตาสองสามที ขณะมองน้ำอิงกับชานชวินทร์สลับกันไปมา
“สวัสดีครับ น้องน้ำอิงใช่มั้ย” เขาเอ่ยทักทายด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ บนใบหน้าหล่อเหลาเคล้าความละมุนยามเปรยยิ้มหวานให้เห็น
“สวัสดีค่ะพี่ชาน นั่งก่อนสิคะ” เจ้าของชื่อเป็นคนขานรับ พลางผายมือให้เขานั่งลงข้างเพื่อนสาว
ร่างขาวเผลอนั่งเกร็งด้วยความทำตัวไม่ถูก คราวก่อนทั้งคู่แยกกันตรงหน้าโรงพยาบาลหลังอาการดีขึ้น จากนั้นเธอก็ไม่ได้เจอกับเขาอีกเลย ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะเจอเขาในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้
ทำไมถึงเป็นเขาได้..
“นี่พี่ชานนะจ้าว รุ่นพี่ที่จะมาติวเคมีกับฟิสิกส์ให้ แนะนำโดยพี่คิรินทร์เองจ้า”
“สวัสดีน้องจ้าว”
“เอ่อ สวัสดีค่ะ”
“ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้งนะครับ”
พูดจบเขาก็หันไปโปรยยิ้มให้เธอ ท่าทางที่แสดงออกดูเข้าถึงได้ง่ายเป็นกันเอง แต่ดวงตาคมคายกลับฉายแววเย่อหยิ่งและถือดีในเสี้ยวหนึ่งที่สบมอง
เหมือนแมวดำที่สง่างามแต่เดาอารมณ์ไม่ถูกเลยสักครั้ง..
จันจ้าวค้อมศีรษะแล้วยิ้มรับพลางยกมือขึ้นทัดหู เธอเลื่อนสายตาขึ้นสบมองกับชานชวินทร์ครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุบตามองไปทางอื่นในวินาทีต่อมา
ดวงตาของเขามีเสน่ห์มาก หากเผลอมองนานเกินไป อาจเป็นอันตรายต่อหัวใจโดยไม่รู้ตัวได้
“เมื่อกี้พี่ชานพูดว่าอะไรนะคะ”
“อะไรเหรอครับ”
“ได้เจอกันอีกครั้งเหรอคะ” น้ำอิงเผลอทวนซ้ำประโยคเดิมด้วยความสงสัย
“ที่จริงเราสองคนเคยเจอกันมาก่อนแล้ว” ชานชวินทร์ตอบกลับเสียงเรียบ จันจ้าวที่ได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับเงยหน้ามองเขา ถึงได้เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังเอียงคอมองเธออยู่เหมือนกัน
“จริงเหรอคะ บังเอิญจังเลยนะคะเนี่ย” น้ำอิงทำตาโตแล้วยกมือขึ้นป้องปากด้วยความตกใจ
“ก็คงบังเอิญแหละมั้งครับ พี่คิดว่านะ”
“แล้วไปเจอกันได้ยังไงเหรอคะ แกไม่เห็นเล่าให้ฉันฟังเลยจ้าว”
คนที่ถูกจับตามองกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ พลางระบายยิ้มเจื่อนแล้วเริ่มอธิบายอย่างใจเย็น
“เมื่ออาทิตย์ก่อน พี่เขาเป็นคนพาฉันไปส่งโรงพยาบาล โทษทีที่ไม่ได้เล่าให้ฟัง”
“แบบนี้ก็แปลว่าคนที่ช่วยจ้าวไว้คือพี่ชานเองสินะคะ”
“ครับ พี่บังเอิญผ่านไปแถวนั้นพอดี”
“เหมือนมีเจ้าชายขี่ม้าขาวมาช่วยเลยนะคะ บังเอิ๊ญบังเอิญจังเลยค่ะ”
น้ำเสียงของน้ำอิงดูตื่นเต้น เหมือนกับเป็นความบังเอิญสีหวานที่ทำให้ทั้งคู่มาเจอกัน แต่จันจ้าวกลับยิ้มไม่ออกเพราะเธอดันเห็นเขาในมุมด้านชาต่อผู้หญิงคนนั้น จนทำให้อยากรู้ขึ้นมาเป็นนัยน์ว่าผู้ชายอย่างชานชวินทร์เป็นคนแบบไหนกัน
ที่เห็นยิ้มแย้มอยู่เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่
“ถ้างั้นทั้งสองคนอยากเริ่มติววันไหนดี”
“พรุ่งนี้เลยดีมั้ยคะ ใกล้สอบแล้วด้วย”
“ได้ครับ พี่ตามใจเธอทั้งสองคนเลย”
ชานชวินทร์เป็นคนยื่นบัตรเครดิตรูดจ่ายค่ามื้ออาหาร หลังนั่งพูดคุยกันได้ราวหนึ่งชั่วโมง ทำให้จันจ้าวที่นั่งเกร็งต่อหน้าเขาเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว
พอเปิดใจคุยกันเธอถึงได้รู้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยที่ตั้งใจจะสอบเข้า ถึงแม้ชานชวินทร์จะเรียนบริหารภาคอินเตอร์ แต่พอได้พูดคุยถึงภาควิชาเคมีกับฟิสิกส์ทำเอาจันจ้าวอึ้งไปเหมือนกัน
ไม่คิดว่าเขาจะเก่งขนาดนี้
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะพี่ชาน”
“ครับ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
หนุ่มรุ่นพี่อาสาขับรถมาส่งน้ำอิงถึงหน้าบ้าน หญิงรุ่นน้องยกมือไหว้ลาพร้อมกับหันไปโบกมือให้เพื่อนสาวที่เบาะหลัง ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถไป ทำให้เหลือแค่จันจ้าวที่นั่งปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา
ชานชวินทร์เอี่ยวลำคอหันมองคนด้านหลัง พลางกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ที่เห็นว่าเธอดูตื่นตระหนกเหมือนเจ้ากระต่ายน้อยที่ขี้ตกใจ
“กลัวพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” เขาเลิกคิ้วถาม ทำเอาอีกฝ่ายชักสีหน้าไปต่อไม่ถูก
“เปล่าค่ะ”
“ถ้าไม่ได้กลัวก็มานั่งหน้าสิ”
“คะ”
“พี่ไม่ใช่คนขับรถของเธอนะ มานั่งข้างหน้าครับน้องจ้าว”
สิ้นประโยคนั้นจันจ้าวก็ย้ายตัวเองจากเบาะหลังไปนั่งที่เบาะหน้าอย่างว่าง่าย เธอเผลอนั่งเกร็งอีกครั้งเมื่อต้องอยู่กับเขาแค่สองต่อสอง พลางเบือนหน้ามองลอดออกไปนอกหน้าต่างแทน
ถึงเขาจะดูไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่มันก็อดประหม่าในใจไม่ได้อยู่ดี
“อาการป่วยดีขึ้นหรือยัง” เสียงคำถามเอ่ยขึ้นเพื่อทำลายกำแพงความเงียบ แต่บทสนทนาเหมือนจะเป็นการถามคำแล้วตอบคำมากกว่า
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ยังอ่านหนังสือหนักอยู่มั้ย”
“ไม่แล้วค่ะ”
“เหรอ”
คนตัวเล็กที่สูงแค่อกเขาพยักหน้ารับ พลางงุดหน้ามองมือทั้งสองข้างที่บีบเข้าหากันแน่น
“พี่อยากสนิทกับเธอนะจ้าว” เสียงทุ้มต่ำพูดต่อ เพราะไม่อยากปล่อยให้บรรยากาศเงียบ
“คะ”
“แต่ถ้าเธอยังไม่เลิกกลัวพี่ พรุ่งนี้เราจะติวกันไม่รู้เรื่องเอา”
ถึงจะเพิ่งเจอกันแค่สองครั้ง แต่คนอย่างจันจ้าวเขามองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกเข้าสังคมไม่ค่อยเก่ง
เธอมีเพื่อนสนิทอยู่แค่คนเดียวคือน้ำอิง ไม่ค่อยทำความรู้จักคนใหม่ เหมือนคนที่อยู่ในพื้นที่ปลอดภัยของตัวเองตลอดเวลา
พอจะโดนรุกล้ำเข้าหน่อยก็เลยกลัวจนตัวสั่นอย่างที่เห็น..
เพราะงั้นการที่เขาจะรุกเข้าหาหนักเกินไป อาจทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจได้ คงต้องใช้วิธีตะล่อมเข้าหาจนกว่าที่เธอจะให้ความไว้วางใจ
“หรือเธอได้ยินเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพี่มา”
“เปล่าค่ะ”
“พี่ทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะคะ”
“หรือว่าพี่ทำให้เธออึดอัด บอกพี่ได้นะ”
“เปล่าค่ะพี่ชาน ไม่ใช่นะคะ”
จันจ้าวโบกมือปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าเขาน่ากลัวจนไม่กล้าเข้าหา แต่เป็นเพราะเธอเองสนิทกับคนได้ยากก็เลยไม่รู้จะวางตัวยังไงเวลาอยู่ต่อหน้าเขา
แล้วทำไมใจต้องสั่นด้วยก็ไม่รู้..
“แต่ไม่ต้องห่วง พี่จะช่วยให้เธอสอบติดให้ได้”
“จ้าวรบกวนพี่ด้วยก็แล้วกันค่ะ”
“ได้สิ เพราะงั้นพี่อยากให้เราสนิทกันไว้นะครับ.. คนเก่ง”