เจ้าของดวงตาคู่คมจ้องมองมาคล้ายว่ากำลังอ่านใจเธออยู่ สายตาของเขาแพรวพราวใช่ย่อย จันจ้าวเลยแสร้งเบนสายตามองไปทางอื่น ก่อนจะหันกลับมามองที่เขาอีกครั้ง ทว่าเจ้าตัวก็ยังจ้องไม่เลิกซ้ำยังยิ้มให้อีกต่างหาก
แค่นี้ใจเธอก็ประหม่าจะแย่อยู่แล้ว..
“พี่รู้นะว่าเธอคิดอะไรอยู่”
“เอ่อ”
“อย่ามองพี่ในแง่ไม่ดีเลยนะครับ.. มันไม่มีอะไรหรอก”
น้ำเสียงที่แฝงด้วยลูกอ้อนทำเอาจันจ้าวไปต่อไม่ถูก เธอกะพริบตาสองสามที พลางลอบกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
ชานชวินทร์ตีหน้าเศร้าแล้วงุดหน้าลงเล็กน้อย จนจันจ้าวแอบรู้สึกผิดที่เผลอคิดกับเขาในแง่ไม่ดีไปเสียแล้ว
มันแค่ความคิดแวบแรกเท่านั้นเอง
“พี่ชานไม่เห็นจำเป็นต้องสนใจนี่คะ ว่าจ้าวจะมองแบบไหน”
“สนใจสิ พี่ไม่อยากให้เธอมองพี่ในแง่ไม่ดีเท่าไหร่”
พูดจบเขาก็มุ่นคิ้วเชิงเว้าวอน ราวกับไม่อยากให้เธอมองเขาผิดไป แม้การกระทำที่เห็นจะฉายชัดก็ตามว่าเจ้าตัวมีเหล่าหญิงสาวมาพัวพัน
อีกอย่างถึงเธอจะมีคำถามที่อยากได้คำตอบ แต่ครั้นจะให้เอ่ยปากถามออกไปก็ยังไงอยู่ ในเมื่อเธอยังรู้จักเขาไม่ดีพอเลยด้วยซ้ำ
ถ้าคิดไปเองก็พอได้อยู่หรอก
“แปลกมั้ย ถ้าผู้ชายจะมีเพื่อนเป็นผู้หญิงบ้าง” ชานชวินทร์เอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าจดจ่ออยู่ที่ริมฝีปากของหญิงสาว ราวกับเฝ้ารอคำตอบจากปากเธอ
สิ่งที่จะสื่อคือผู้หญิงคนเมื่อครู่เป็นแค่เพื่อนงั้นเหรอ..
จันจ้าวเงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนจะคลี่รอยยิ้มบางเบาออกมา
“ไม่แปลกนี่คะ จ้าวเองก็เคยมีเพื่อนผู้ชาย แค่ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น”
“นั่นสิ ผู้หญิงกับผู้ชาย ก็เป็นเพื่อนกันได้ปกตินี่เนอะ”
เธอเสตามองไปด้านข้างครู่หนึ่ง พลางพยักหน้ารับคำอย่างไร้ข้อตอบโต้
“งั้นก็อย่ามองพี่ในแง่ร้ายเลยนะครับ”
“จ้าวยังไม่ได้มองพี่ชานในแง่ร้ายเลยนะคะ”
“ถ้าเราไม่เข้าใจผิดก็ดีแล้ว พี่จะได้โล่งใจ”
สิ้นประโยคนั้นเขาก็คลี่ยิ้มออกมาคล้ายว่าพอใจกับคำตอบที่ได้รับ ตรงกันข้ามกับจันจ้าวที่เอียงคอด้วยความงุนงงเพราะตามอีกฝ่ายไม่ทัน
สำคัญด้วยเหรอว่าเธอคิดอะไร..
ชานชวินทร์ลอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะหยิบหนังสือออกมาคลี่เปิดอ่าน พลางขยับตัวเข้าใกล้หญิงสาวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เริ่มติวเลยดีมั้ย”
“ได้ค่ะ”
น้ำเสียงนุ่มทุ้มฟังเพลินพูดอธิบายเนื้อหาอยู่ข้างใบหู ในขณะที่พาเธอแก้ไขโจทย์ตลอดระยะเวลาสามชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อนทั้งคู่จะเข้าสู่โหมดจริงจังเมื่อต้องเริ่มทำแบบทดสอบหลังเรียน
ชานชวินทร์นั่งเงียบระหว่างรอเธอแก้โจทย์ปัญหา สายตาเหลือบมองใบหน้าสวยหวานจากทางด้านข้าง ก่อนจะยื่นมือไปจับผมนิ่มทัดใบหูให้อีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ
คนที่กำลังแก้โจทย์ด้วยสีหน้าตึงเครียดชะงักไปครู่หนึ่ง ข้างแก้มเห่อร้อนขึ้นมากะทันหัน เมื่อถูกมือหนาสัมผัสเฉียดใบหน้าไปเพียงนิดเดียว
แต่เหมือนชานชวินทร์จะไม่หยุดแค่นั้น เขาใช้หลังมือแนบลงบนแก้มใสที่มีเลือดฝาด ทำเอาร่างบางถึงกับนั่งเกร็งโดยอัตโนมัติ
“พี่ชาน”
“ครับ”
เธอเงยหน้ามองเขาพร้อมกับลมหายใจที่ติดขัด รู้สึกว่าหัวใจทำงานหนักขึ้นมาทันทีที่ต้องสบตากับอีกฝ่าย
ใบหน้าหล่อเหลานิ่งสงบราวกับมหาสมุทรกว้างที่ไร้เกลียวคลื่น หากทว่าในแววตากลับเป็นประกายวาบหวามดูเจ้าเล่ห์ชอบกล
คนที่เผลอสบตานานตกลงไปในภวังค์ความคิด ร่างกายชาดิกไม่เคลื่อนไหวตามที่สมองสั่ง
กระทั่งใบหน้าของชานชวินทร์ขยับเข้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นร้อนก็เป่ารดแก้มขาวเป็นระยะ ชวนให้ใจดวงน้อยสั่นไหวอย่างรุนแรง
หัวใจไม่รักดีเอาเสียเลย..
“จ้าวว่า..”
“หือ”
“จ้าวว่าเราพักกันก่อนดีกว่าค่ะ สักสิบนาที”
สิ้นประโยคนั้นจันจ้าวก็เป็นฝ่ายผละตัวออก พลางผ่อนปรนลมหายใจหอบหนัก ที่ทำเอารู้สึกหายใจไม่ทั่วท้องอย่างบอกไม่ถูก
ชานชวินทร์ที่เห็นเธอดูเขินอายก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ พลันกระตุกยิ้มบนมุมปาก คล้ายว่าอยากจะต้อนคนตรงหน้าให้จนมุม
“ร้อนเหรอ” เขาเลิกคิ้วถามพร้อมกับอมยิ้มมุมปาก
“คะ” เธอมุ่นคิ้วแล้วงุดหน้าจนคางเกือบชิดอก
“ทำไมหน้าแดง”
“หนะ.. หน้าแดงเหรอ”
“อืม แดงมากเลยด้วย”
จันจ้าวทำตาโต ก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นแนบแก้มที่ร้อนฉ่า
เธอไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอหน้าแดงใส่เขาขนาดนี้ ไม่แน่ใจว่าสองแก้มนวลอาจจะแดงฉานราวกับลูกตำลึงสุกแล้วก็เป็นได้
“อาจจะร้อนมั้งคะ พี่ชานปรับแอร์ให้หน่อยได้มั้ย” เสียงหวานแก้ตัวกลบเกลื่อนไปเรื่อยเปื่อย
“ได้สิ เดี๋ยวพี่ปรับให้”
“ขอบคุณค่ะ”
ชานชวินทร์ยอมถอยทัพกลับ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปปรับแอร์ให้เย็นลง ทำเอาจันจ้าวถึงกับยกมือขึ้นลูบท่อนแขนแล้วยิ้มเจื่อนส่งไปให้อีกฝ่าย
หนาวจะแย่ เอาอะไรมาร้อนกัน
“เดี๋ยวพี่ทำโกโก้ร้อนให้กินก็แล้วกัน” เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนเดินหายเข้าไปในห้องครัว
จันจ้าวคล้อยสายตามองตามแผ่นหลังกว้างไป พลันลอบถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลังเผลอกลั้นหายใจด้วยความกลัดเกร็งจนเกือบหมดลม
ในเวลานี้เธอได้แต่คิดถึงน้ำอิงเพื่อนรัก มือก็บรรจงกดแป้นพิมพ์ระรัวไปหาปลายทาง แล้วเอาแต่ภาวนาว่าการติวในครั้งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดี
นั่งรออยู่สักพักชานชวินทร์ก็กลับมาพร้อมแก้วโกโก้ร้อนในมือ เขาวางมันไว้บนโต๊ะ ก่อนจะคลี่ผ้าห่มที่ถือมาคลุมร่างบางเอาไว้
“ตกลงหนาวหรือร้อนกันแน่ครับ” เสียงทุ้มเอ่ยแซวข้างใบหู ทำเอาคนตัวเล็กนั่งนิ่งไม่กล้าขยับ เพราะริมฝีปากเหนือร้ายนั่นวางขนาบอยู่ข้างแก้ม หากเผลอขยับตัวมีหวังแก้มได้โดนริมฝีปากเขาแน่
“พี่ชานเลิกแกล้งจ้าวได้มั้ยคะ”
“พี่แกล้งอะไรเธอครับ”
“ก็เอาหน้ามาใกล้แบบนี้”
พูดจบชานขวินทร์ก็แค่นหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยอมผละใบหน้าออก แล้วทรุดตัวนั่งลงข้างเธอตามเดิม
“ขอบคุณสำหรับโกโก้ร้อนแล้วก็ผ้าห่มนะคะ” เธอว่าพลางกระชับผ้าห่มคลุมร่างไว้
มือบางทั้งสองข้างจับแก้วขึ้นมา พลางใช้ปากเป่าควันร้อน แล้วยกขึ้นดื่มขณะที่มีสายตาคู่คมจ้องมองอยู่ตลอดเวลา
“อร่อยมั้ย”
“อร่อยมากเลยค่ะ”
“ถ้าอร่อยก็กินให้หมดนะ”
เขานั่งเท้าคางมองเธอไม่ละสายตาไปไหน ราวกับจะกลืนกินอีกฝ่ายให้ได้เสียอย่างนั้น
“พี่ชานดูแลคนเก่งจังเลยนะคะ ต้องเป็นพี่ชายที่อบอุ่นมากแน่ ๆ”
“พี่เนี่ยเหรอจะเป็นพี่ชายที่อบอุ่น”
ชานชวินทร์หลุดขำออกมา ก่อนจะตอบกลับไปอีกว่า
“พี่เป็นลูกคนเล็ก มีแค่พี่สาว”
“งั้นเหรอคะ ถ้าแบบนั้นก็แปลว่าเป็นน้องชายที่น่ารักมากแน่ ๆ”
สิ้นประโยคนั้นจันจ้าวก็ชะงักงันไปชั่วขณะ เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอพูดจาแปลกประหลาดออกไป แต่กลับเรียกรอยยิ้มจากเขาได้ซะงั้น
“แล้วเธอล่ะ มีพี่น้องไหม” เขาถามกลับบ้าง พลางเอียงศีรษะรอฟังด้วยสีหน้าตั้งใจ
“จ้าวมีพี่ชายค่ะ ชื่อพี่อาทิตย์”
“แล้วได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า พี่กับพี่สาวไม่ได้อยู่ด้วยกันน่ะ”
“พี่อาทิตย์ไปทำงานที่อเมริกาค่ะ สามถึงสี่เดือนโน่นกว่าจะกลับ”
“แบบนี้คงเหงาแย่เลยสิ ต้องอยู่คนเดียว”
เมื่อชานชวินทร์เริ่มชวนคุยมากขึ้น คนที่นั่งเกร็งก่อนหน้านี้ก็เริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้วเหมือนกัน
เธอขยับตัวหันหน้าเข้าหาเขา พลางหลุบตาอย่างครุ่นคิดก่อนจะตอบกลับไป
“ช่วงแรกเหงามากเลยค่ะ แต่ตอนนี้จ้าวคงเริ่มชินแล้ว”
“ปากไม่ตรงกับใจเหรอ”
“คะ”
“ถ้าเหงาก็บอกเหงาสิ”
“ก็..”
“พี่ทำให้เธอหายเหงาได้นะ”
สิ้นเสียงเขาหัวใจดวงน้อยก็สั่นไหวไปมา เรียวคิ้วขมวดมุ่นเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะสื่อคำพูดไปในแนวไหน แถมสีหน้าเจ้าตัวตอนพูดก็ดูจริงจังมากอีกด้วย
“ก็เหงาค่ะ จ้าวเหลือแค่พี่อาทิตย์คนเดียวแล้ว” เธอพูด พลางวางแก้วโกโก้ร้อนลงบนโต๊ะ
“เรานี่มีอะไรคล้ายกันมากเลยนะ”
“คล้ายกันเหรอ”
“เป็นน้องเล็กเหมือนกันไงครับ”
จันจ้าวมุ่นคิ้วแล้วคิดตาม ก่อนจะระบายยิ้มบนมุมปาก ทว่าก็ต้องหุบยิ้มฉับในทันทีที่ได้ยินประโยคถัดมา
“แต่พี่สาวของพี่เสียแล้ว”
“.....”
“ตอนนี้พี่ก็เลยเหลือตัวคนเดียวเหมือนกัน..”
คนที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับพูดอะไรไม่ออก อ้าปากพะงาบจะปลอบประโลมเขาแต่ก็คิดคำพูดไม่ทัน
“ไม่ต้องปลอบพี่หรอก พี่ไม่เป็นไร” เขาเอ่ยทั้งรอยยิ้ม แต่นัยน์ตากลับหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
“แปลว่าพี่ชานก็คงเหงามากเหมือนกัน”
“ก็ถ้าวันนี้มีคนแถวนี้ไปดูหนังด้วยกันคงหายเหงาอยู่นะ”
พูดจบบนใบหน้าคมคายก็ปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ กลบเกลื่อนความเศร้าในดวงตาเมื่อครู่ ราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น
แต่เมื่อกี้เขากดดันเธอทางอ้อมอยู่ใช่มั้ยเนี่ย
หรือกำลังจะมัดมือชกให้เธอยอมจนมุมเขากันแน่
“ไปดูหนังกันนะ”
“คะ”
“ถ้าเธอได้พี่เป็นเพื่อนเที่ยว รับรองว่าหายเหงาแน่นอน”
“เอ่อ”
“อย่าลืมสิว่าเราต้องติวกันอีกนาน สนิทกันไวขึ้นจะได้ไม่ประหม่าเวลาเจอกัน”
จันจ้าวกลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด ก่อนจะขยับสายตาขึ้นมองเขาแล้วทำหน้าอธิบายยาก
จะปฏิเสธยังไงให้ไม่เสียมารยาทดี..
“ปากตรงกับใจหน่อยสิ”
“ก็ปากกับใจไม่ตรงกันอยู่แล้วนี่คะ”
“เด็กน้อย”
“พี่ชาน..”
“ไม่ปฏิเสธพี่ถือว่าตกลง เดี๋ยวเลี้ยงหนังแล้วก็ป็อปคอร์นถังใหญ่เลย”