หมับ!
“จะไปไหน!”
ระหว่างที่ยืนนิ่งไม่ตอบโต้กับสิ่งที่คีตาพูดนั้น จู่ ๆ ก็มีมือหนาคว้าจับเข้าที่ข้อมือออกแรงกระชากพาตัวเองไปทางรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่ ทำฉันตกใจส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น
และการที่ตัวเองแหกปากมันก็ทำให้ลูกน้องของตัวเองหันมามองเป็นตาเดียว ทำทีจะพุ่งตัวเข้ามาหา ทำให้ต้องรีบยกมือขึ้นส่งสัญญาณเป็นการสั่งห้ามทุกคนเหล่านั้นเอาไว้
จึงทำให้ทุกคนหยุดชะงักกับที่ทำได้เพียงแค่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ มีแค่ฉันคนเดียวในตอนนี้ที่สามารถต่อปากต่อคำกับเขาได้ ถ้าคนอื่นเข้ามายุ่งก็อาจจะทำให้เกมเปลี่ยนทันทีเลยนะ
อารมณ์คีตาตอนนี้แม้แต่ฉันยังรับมือยากเลย
อย่างน้อยฉันกับราชาก็ไม่ตาย แต่จากนี้ตัวเองจะมีสภาพแบบไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน...
“นี่มันเวลาของฉันไง ไม่แหกตาดูนาฬิกา” นัยน์ตาคมจ้องมองมาในระหว่างที่พาตัวฉันเดินไปทางรถ แต่รถที่กำลังเดินไปนั้นไม่ใช่รถยนต์คันที่คีตาขับมา
“ก่อนจะเริ่มอะไรฉันควรจะได้เจอคีย์สักหน่อย ได้เห็นว่าเธอปลอดภัยดี” ถ้าจะไม่มีโอกาสได้ไปด้วยตัวเองก็ควรจะพาให้ไปเห็นกับตาหน่อยสิ! คิดว่าคืนนี้ฉันจะข่มตาหลับไปได้หรือไง
“เห็นแล้วช่วยอะไรได้ ก่อนหน้านี้รู้ว่าไอ้ราชามันทำอะไรบ้างยังไม่เห็นจะทำอะไรได้...จะอยากเป็นแม่พระอะไรตอนนี้ทั้งที่ผ่านมาไม่อะไรเลย”
“....” จะตอกย้ำใส่หน้ากันไปถึงไหน แม้ว่าในใจจะเจ็บจนร้องไห้ไม่ออก เกิดคำถามมากมายก็ทำได้เพียงแค่ปั้นหน้านิ่ง เงยหน้าช้อนสายตาขึ้นมองสบตากับอีกฝ่าย
“เข้าไป”
ร่างบางถูกฉุดกระชากลากถูมาถึงรถได้สำเร็จ ประตูเบาะหลังเปิดออกรอให้ฉันเข้าไปในนั้นถามคำสั่ง กุญแจรถถูกโยนไปให้คนขับแล้วแบบนี้ก็เท่ากับว่าต้องนั่งรถไปกับคีตาน่ะสิ
เดี๋ยวสิ! ไม่ทันให้ตั้งตัว แล้วไหนจะต้องเก็บของอีก!
“ของฉันยังไม่ได้เก็บตามที่สั่ง”
“....”
“จะให้ไปทั้งสภาพนี้เหรอ...เกิดคนอื่นมาเห็นจะทำยังไง ใส่ชุดนอนเข้าบ้านนาย” พรุ่งนี้ได้ไหม ฉันแทบยังไม่ได้เตรียมใจอะไรเลย...
“เช็กเครื่องบินไอ้ราชา เจอที่ไหน...”
“โอเค ฉันไปกับนาย” เสียงเล็กพูดแทรกเข้ามาตัดบททุกอย่าง ทำให้คีตาหยุดคำสั่งนั้นลงในทันที
พรึ่บ!
ร่างบางพาตัวเองเข้าไปนั่งภายในรถและเมื่อหย่อนสะโพกลงสัมผัสเบาะก็ไม่ลืมจะหันมาทางผู้ชายที่ยืนอยู่ ยื่นมือไปจับข้อมือคีตาเอาไว้ออกแรงดึงให้คนตัวสูงเข้ามาในรถด้วยกัน ไม่อยากให้ห่างแม้แต่วินาทีเดียวเลยตอนนี้ แต่คีตากลับใช้มือตัวเองดึงมือของฉันออกอย่างไม่สนใจไยดี
พรึ่บ!
“ฉันไม่ไปรถคันเดียวกับเธอ หายใจร่วมกันในที่แคบไม่ไหว”
ปึก!
สิ้นเสียงประตูรถถูกปิดใส่หน้าอย่างไม่สนใจเลยว่าจะกระแทกหน้าฉันไหม คำพูด น้ำเสียง การแสดงออกสามารถเปลี่ยนไปได้อย่างชัดเจนเพียงข้ามวัน บรรยากาศภายในรถมีเพียงความเงียบ ฉันพยายามควบคุมน้ำตาเอาไว้แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถอดทนมันได้อีกต่อไป
ใบหน้าสวยซบลงบนฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเอง ปล่อยน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อยากให้ใครเห็น ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นให้ได้ยินในขณะที่รถกำลังเคลื่อนตัวไปข้างหน้า
ความรู้สึกมากมายถาโถมใส่ไม่หยุด เรื่องเดียวที่ติดอยู่ในใจคือรู้สึกผิดต่อคีย์
ส่วนตัวเอง...ช่างมันเถอะ ฉันไม่มีตัวเลือกอื่นสำหรับเรื่องนี้
เวลาต่อมา ณ บ้านของคีตา
ร่างเล็กในชุดนอนกระโปรงตัวบางยืนนิ่งอยู่หน้าคฤหาสน์หลังโต แขนทั้งสองข้างปล่อยลงทิ้งดิ่งตามแรงโน้มถ่วงข้างตัว ดวงตากลมจ้องมองไปยังเบื้องหน้า แม้ว่าจะมาถึงแล้วแต่ฉันไม่ได้ถูกอนุญาตให้เข้าไปในบ้าน ต้องรอผู้ชายที่มีอำนาจสูงสุดที่นี่มาถึงก่อน
เมื่ออยู่ในที่ของฉันคีตาไร้ซึ่งอำนาจใด ๆ และเมื่อฉันมาอยู่ในที่ของเขา ก็เป็นตัวเองที่ไม่มีอำนาจหรือแม้แต่จะส่งเสียงพูดยังไม่ได้ ตอนนี้ฉันแทบจะหมดแรงจริง ๆ ยังไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรแล้วคีตาไปอยู่ที่ไหนอีกล่ะเนี่ยตอนนี้
“ยืนอยู่ตรงนี้จนกว่าจะหกโมงเช้า” คนที่ตัวเองกำลังร้องเรียกหาในใจก็ได้ส่งเสียงพูดขึ้น ฉันรับรู้ได้ถึงเจ้าของประโยคคำพูดนั้นเดินเข้ามาใกล้
“...หมายความว่าห้ามนอนยันเช้า” เหมือนฉันเป็นเด็กประถมที่กำลังถูกคุณครูทำโทษไม่มีผิด ที่คิดว่าจะเจอกับอะไรร้ายแรงและต้องรับมือคีตาทั้งคืนดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นอย่างที่คิด
“...” สายตาทั้ง 2 คู่มองกันและกันในจังหวะที่คีตากำลังเดินผ่านฉันไปพอดี
“วิธีการทำโทษเหรอ ให้ฉันยืนนอกบ้านจนเช้า” ตอนนี้ไม่สามารถนอนหลับได้เหมือนกัน แม้ว่าตัวเองจะเหนื่อยจนไม่อยากจะยืนก็เถอะ
“รังเกียจ รับข้อเสนอก็จริงแต่ให้อยู่ใกล้ไม่ไหว” สาบานได้เลยว่าวันนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่คีตาใช้คำพูดแบบนี้กับฉัน ทั้งคำพูด น้ำเสียงและแววตาที่มองมาแม้ทุกอย่างจะถูกแสดงออกอย่างเรียบเฉย แต่มันเจ็บราวกับถูกของมีคมกรีด
“....”
“พูดเองว่ายอมให้ทำอะไรก็ได้”
“....”
“ถ้าทนไม่ไหวมีสองทางเลือกให้เลือก ส่งไอ้เวรนั่นมาแล้วเรื่องนี้จบทันทีกับสอง...เธอตาย เพราะการตายก็ไม่ต้องรับรู้เรื่องของน้องชายนับจากนี้ ไม่ต้องรับรู้ว่ามันเจอกับอะไรบ้าง...พวกมึงเฝ้าเอาไว้จนถึงหกโมงเช้า” สิ้นเสียงคีตาก็เดินเข้าไปในตัวบ้านปล่อยฉันนิ่งอยู่กับที่ รอบตัวมีลูกของเขาที่มองมาด้วยสายตากังวลใจ แต่ไม่สามารถเข้ามาช่วยเหลืออะไรได้
เวลา 02.45 น.
“คุณควีนไหวมั้ยครับ เอาเก้าอี้”
“เฮ้ย...”
เสียงลูกน้องของคีตาพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วงพร้อมยกเก้าอี้มาให้ฉันหลังจากเห็นยืนมาหลายชั่วโมง แต่ยังไม่ทันที่สิ่งที่ยกมาวางลงกับพื้นและตัวเองจะพูดอะไรออกไป ก็มีเสียงทักท้วงคุ้นหูเรียกความสนใจให้มองไปและเมื่อสบตากับเจ้าของเสียง เก้าอี้ตัวนั้นได้ถูกยกหนีทันที
ร่างสูงยังคงอยู่ในชุดเดิมยืนอยู่ริมระเบียง ใช้นิ้วเรียวคีบบุหรี่ขึ้นสูบก้มมองมายังเบื้องล่าง ดวงตาสีน้ำตาลฉายชัดถึงความเย็นชา ฉันกับเขาเรายังอยู่ในสภาพเสื้อผ้าชุดเดิม แม้ว่าปากจะบอกว่ารังเกียจแต่ตัวเองก็เฝ้าไม่ห่าง
ที่เฝ้าก็ไม่ได้รู้สึกอะไรอย่างเมื่อก่อนแล้ว แต่เฝ้าเพราะอยากดูว่าฉันจะทนได้สักแค่ไหน จะร้องอ้อนวอนอะไรเขาอีกหรือเปล่า
เวลา 06.00 น.
“หกโมงแล้วใช่มั้ย”
เสียงหวานแหบแห้งเอ่ยถามขึ้นแล้วเงยหน้ามองไปยังระเบียงห้องที่คีตายังคงอยู่ตรงนั้น เขาหายไปนอนพักแล้วก็กลับมาอยู่ที่เดิม ไม่ให้ฉันคาดสายตาและรอดูสภาพว่าจะทนได้สักกี่น้ำ แต่เสียใจด้วยที่ฉันอยู่มาจนถึงเช้าได้
“ครับ” เสียงจากคนที่ยืนเฝ้าฉันมาทั้งคืนตอบกลับมา แต่จุดสนใจของตัวเองก็ยังคงเป็นคีตาที่ยืนมองฉันอยู่เช่นเดียวกัน
หกโมงเช้า...เรามีสถานะที่เท่าเทียมกันเช่นเดิม
นิ้วกลางยกขึ้นชูส่งให้แก่อดีตเพื่อนของตัวเอง ท่ามกลางสายตาจากลูกน้องนับสิบ ไร้เสียงร่ำลาและบทสนทนาระหว่างฉันกับเขาในเช้าวันใหม่
จากนั้นร่างเล็กหันหลังแล้วเดินตรงไปทางประตูรั้วใหญ่ด้วยเท้าเปล่า ภายนอกประตูนั้นมีรถยนต์และคนของตัวเองมารอรับอยู่แล้ว นับจากนี้ฉันรับรู้สิ่งที่ตัวเองต้องทำแค่อย่างเดียว...
ห้ามตายเด็ดขาด