จำเลยวันสุดท้าย (2)

2220 Words
ชุดกระโปรงยาวพลิ้วสีขาว เปลือยบ่าด้วยสายเดี่ยวผูกโบว์ คือเดรสที่ฝนแก้วหยิบมาใส่สำหรับวันสุดท้ายในรังรักของปรวีร์ แม้เมื่อคืนทั้งงอนทั้งน้อยใจ แต่สองแขนของฝนแก้วกลับกอดก่ายเขาไว้ทั้งคืน เธอทำเป็นหลับแล้วขยับไปกอดปรวีร์ที่ตวัดแขนโอบเธอตอบอย่างเต็มใจ เพียงเท่านี้ก็กล่อมฝนแก้วหลับสนิทฝันหวานตลอดคืน เช้าวันสุดท้ายตามข้อตกลงของปรวีร์ แม้ความขุ่นยังเกาะแน่นตามผนังใจแต่ฝนแก้วพยายามไม่สานต่อความร้าวฉาน เธอลุกมาเตรียมอาหารให้เขาแต่เช้าด้วยรอยยิ้มที่ไม่ปรากฏทางสีหน้า ปรวีร์ในชุดไปรเวทชำเลืองมองคนตัวเล็กที่วางอาหารเรียงรายเสียเต็มโต๊ะอย่างประหลาดใจ ปกติมื้อเช้าเธอไม่ทำอะไรมาก อย่างเก่งก็แค่แซนด์วิชไข่ข้น เบรกฟาสต์ง่ายๆ หรือหากเป็นเมนูไทยก็จำพวกข้าวต้มหมู แต่จานที่เรียงรายบนโต๊ะอาหารหินอ่อนสีเทาคือเมนูที่เหมาะกับมื้อกลางวันหรือไม่ก็มื้อเย็น “ทำเองหมดเลยเหรอ ทำไมทำเยอะจัง” ฝนแก้วถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้ตรงครัวก่อนถือชามไข่พะโล้ของโปรดของปรวีร์เดินออกมา “มื้อสุดท้ายก่อนจากลาของเราสองคน ฝนอยากให้มันพิเศษ ไหนๆ ก็จะไม่ได้เจอกันอีก” “ทำอย่างกับจะหายไปไหน บ้านก็ไม่ได้อยู่ไกลกัน” “ก็พี่พูดเองนี่คะว่าต่อจากนี้เราสองครอบครัวจะไม่เหมือนเดิม...ว่าแต่ที่เราทำกันเมื่อคืนช่วย Delete ทิ้งด้วยนะคะ” “อะไร?” ดวงตาสีสนิมเหลือบขึ้นด้านบน ปรวีร์มองตามก็อดตกใจไม่ได้ เขาลืมได้อย่างไรว่าติดกล้องวงจรปิดไว้ในบ้าน ซึ่งตรงจุดที่ทั้งสองร่วมรักเมื่อคืนก็อยู่ในเลนส์อย่างเหมาะเจาะ “ไม่รู้ ขอคิดดูก่อน อาจจะเก็บไว้ดูเล่นๆ” “ไม่แมนเลยนะคะ” แม้ไม่มีแววล้อเล่นในสีหน้า แต่ฝนแก้วยังอยากเชื่อว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษพอ “อาหารพร้อมแล้ว ทานเถอะค่ะ” “มานั่งนี่สิ” ปรวีร์ดึงแขนคนที่ทำท่าจะอ้อมไปอีกฝั่ง ตวัดรวบเอวบางพร้อมฝังจูบบนผิวแก้มที่ขึ้นสีแดงเรื่อ แม้โดนกอดหอมเป็นประจำทุกวันแต่หล่อนก็ยังไม่ชินง่ายๆ สินะ ปรวีร์เลื่อนเก้าอี้ให้ก่อนนั่งลงข้างกัน ฝนแก้วเหล่มองอย่างแปลกใจโต๊ะอาหารจำนวนหกที่นั่งแต่กลับมาเบียดกัน ปกติปรวีร์มักอยู่หัวโต๊ะส่วนเธอก็นั่งอยู่ข้างๆ “มานั่งเบียดทำไมคะแทนที่จะได้วางแขนทานอย่างสะดวก” “ก็อยากได้ความพิเศษไม่ใช่เหรอ ไหนๆ ก็วันสุดท้ายแล้วนี่จะบริการให้เต็มที่” ใบหน้าหล่อเหลายื่นเข้ามาใกล้ ส่วนอีกมือก็โอบบ่าเธอไว้ “กินเสร็จแล้วขอจัดหนักอีกรอบนะ...โอ๊ยๆ เจ็บ!” ฝนแก้วตีหน้ายักษ์พลางละมือจากที่หยิกหัวนมเขา “ฝนไม่ยอมอีกแล้ว หยุดคิดบ้าๆ ไปเลย เจ็ดวันก็คือเจ็ดวัน” “แล้วหลังจากนี้จะมาหาอีกไหม” “ไม่ค่ะ” “แล้วถ้าฉุดมาอีกจะได้ไหม” “ไม่ได้สิคะ!” “คราวหน้าฉุดไปไว้ไหนดีนะ? อืมม...เกาะกลางทะเลเลยดีไหม” ก็บอกว่าไม่ได้ไง คนอะไรพูดไม่รู้เรื่อง! “งั้นถ้าจะฉุดโปรดให้สัญญาณล่วงหน้าด้วยนะคะ ฝนจะได้เตรียมไปทั้งปืนทั้งมีด” ดวงตากลมโตค้อนขวับแกมข่มขู่ เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นแหละที่ฝนแก้วยอมศิโรราบเป็นทาสรักปรวีร์ ต่อจากนี้จะไม่มีอีกแล้ว หัวใจและชีวิตต้องก้าวไปข้างหน้า ต่อให้รักแทบตายอย่างไรแต่หากอีกคนไม่คิดให้ใจมันก็เหนื่อยเปล่า เกิดมาทั้งทีไยเธอต้องวิ่งเอาหัวใจไปยัดเยียดให้คนที่ไม่ต้องการด้วย แต่หากว่าพรหมลิขิตมีจริง และกำหนดเส้นชะตาของเธอกับเขาไว้แล้ว...งั้นก็ค่อยว่ากันอีกที “นึกว่าจะเตรียมโซ่แส้กุญแจมือ” “พี่วีร์นี่เห็นเงียบๆ ขรึมๆ แต่หื่นกามมากเลยนะคะ” ปรวีร์ขำในลำคอกับการเหน็บแนมของเธอ เขาก็เพิ่งรู้ตัวเองว่ามีมุมโลมเลียผู้หญิงด้วยคำพูดแบบนี้ ที่ผ่านมาไม่เคยใช้วาจากำกวมกับใคร ปรวีร์เป็นประเภทที่หิวเมื่อไหร่ค่อยหากิน ไม่ซื้อระดับพรีเมียมก็วันไนท์สแตนด์ตามแต่ความพอใจ “มองกล้องหน่อยสิ” ปรวีร์ไม่สนใจอาหารที่ฝนแก้วตักใส่จานให้ กลับหยิบมือถือแล้วตั้งองศาในลักษณะเซลฟี่ สาวน้อยมองตาแป๋วใส่กล้องไม่ใช่เพราะทำแบ๊ว แต่เป็นนัยน์ตาแห่งความไม่เข้าใจ และกว่าจะได้รูปยิ้มสดใสก็ปาไปภาพที่สี่ ปรวีร์หยุดเซลฟี่ พลางเลื่อนๆ ไถๆ โทรศัพท์ก่อนวางลงแล้วเริ่มรับประทานอาหาร “ถ่ายรูปทำไมเหรอคะ” คนอย่างเขาคงไม่คิดเก็บเป็นที่ระลึกหรอกมั้ง “เดี๋ยวก็รู้เองแหละ” ยิ้มเล็กมุมปากแฝงความนัยสะกิดใจคนมองจนเกรงว่าอาจไม่ใช่เรื่องดี กระนั้นก็คร้านเกินกว่าจะคาดคั้น ไหล่บางไหวขึ้นลงไม่แยแสแล้วเริ่มรับประทานอาหาร เช้านี้เธอทำเมนูไทยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งฝนแก้วไม่ถนัดนักแต่ก็ทำออกมาได้รสชาติกลมกล่อมทีเดียว เพียงปรวีร์พยักหน้าพอใจและเอ่ยชมเบาๆ ว่าอร่อยเท่านี้ฝนแก้วก็เต็มตื้นในอารมณ์เหมือนหัวใจถูกพรมด้วยน้ำทิพย์ เธอเอาแต่มองเสี้ยวหน้าเขาที่รับประทานอาหารอย่างคล่องคอจนความรู้สึกคละเคล้ากันหลากหลาย เหมือนนกน้อยที่หลุดบินเข้าไปในห้วงมิติลี้ลับเต็มไปด้วยเส้นแสงอัศจรรย์ ทว่าอีกชั่วอึดใจต่อมากลับดิ่งลงสู่ความมืดมน “ถึงแม้ชาตินี้เราไม่สมหวังกัน ถึงแม้ว่าหลายวันที่ผ่านมาพี่วีร์ทำฝนร้องไห้อยู่หลายครั้ง แต่ฝนจะจัดให้พี่วีร์อยู่ในช่วงเวลาที่งดงาม พี่วีร์จะเป็นความทรงจำที่ดีของฝน อย่างน้อยก็เป็นผู้ชายคนแรกที่ฝนรัก” รักมากด้วย...ฝนแก้วยิ้มให้เขาทั้งน้ำตาก่อนเอื้อมหยิบทิชชู่มาซับออก แต่รอยยิ้มยังคงอยู่เช่นเดิม ปรวีร์ฝืดคอกับอาหารที่ทานเข้าไป อยู่ๆ เธอก็พูดจาประหลาดและร้องไห้ออกมาเสียอย่างนั้น แล้วเขาต้องรู้สึกอย่างไร ต้องพูดออกไปอย่างไร ปรวีร์อึกอักซึ่งมีไม่บ่อยครั้งนักที่เขาเกาจมูกอย่างจนคำพูด “เธอพูดอย่างกับจะลาหายไปตลอดชีวิตงั้นแหละ” “ไม่รู้สิคะ เช้านี้ฝนตื่นมาด้วยความรู้สึกที่แย่มาก ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่พี่ทำกับฝนเมื่อคืน มันเป็นความรู้สึกลึกลับจะเรียกว่าลางสังหรณ์ก็คงงมงายไป...” ฝนแก้วจดจ้องใบหน้าเขานิ่งนานกว่าจะเอ่ยต่ออีกครั้ง “...ฝนรู้สึกว่าเราจะไม่ได้เจอกันอีก” “เพ้อเจ้อ ลางสังหรณ์บ้าบออะไร” “นั่นสินะ คงเพราะคิดถึงที่บ้านมากไปหน่อยสมองก็เลยวุ่นวาย ทานข้าวกันต่อเถอะค่ะ” ริมฝีปากอิ่มฝืนยิ้มสุดฤทธิ์ ยิ่งปรวีร์มองหน้าเธอก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก “กินไม่ลง” ร่างสูงลุกขึ้นยืนแล้วผละไปจากโต๊ะอาหาร ดวงตาเจือหยดน้ำทอดมองตามกระทั่งปรวีร์หายลับไปตรงระเบียง ฝนแก้วไม่อยากร้องไห้อีกแล้ว แต่หัวใจคล้ายโอบอุ้มน้ำไว้จนล้นฝืนทนต่อไม่ไหว สุดท้ายก็สะอื้นไห้ออกมา ข้าวปลาอาหารที่ทำไว้เสียหลายจานพลอยเสียรสชาติตามอารมณ์ของคน ฝนแก้วไม่แตะต้องและนั่งมองนิ่งอยู่เช่นนั้นจนไม่รู้ว่าเวลาล่วงเลยไปนานเท่าใด รู้แค่ว่าปรวีร์ก็ยังอยู่ตรงระเบียง กริ๊ง! กริ๊งๆๆ!! ร่างบางสะดุ้งโหยงกับเสียงกริ่งในห้องที่ดังระรัวต่อเนื่อง ยังไม่ทันหันไปเรียกเจ้าของห้องทั้งเสียงและภาพจากอินเตอร์คอมก็ดังขึ้นจนหัวใจฝนแก้วร่วงไปกองพื้น “วีร์! เปิดประตูให้ป้าเดี๋ยวนี้ ฝนแก้วอยู่ในนั้นเหรอ” “แม่” ฝนแก้วพึมพำกับตัวเอง ก่อนเปลี่ยนสายตาไปทางปรวีร์ที่ย่ำผ่านหน้าเธอไปราวอากาศธาตุ ปรวีร์นิ่งมองบานประตูอยู่สามวินาทีก่อนเปิดออก รสรินยืนหายใจแรงสีหน้าระอุด้วยความโกรธ ทันทีที่ได้รับภาพถ่ายคู่ของปรวีร์และลูกสาวพร้อมข้อความว่า ‘ฝนแก้วเป็นหมากที่เคี้ยวเพลินดี’ รสรินก็รีบมาที่นี่อย่างไวว่อง หญิงวัยกลางคนก้าวขาเข้ามาด้านในโดยไม่คิดรอคำเชิญ ซ้ำยังตวัดตาขุ่นใส่ปรวีร์ที่มีแต่ความเย็นชาในสีหน้า “ไหน! ลูกฉันอยู่ไหน” รสรินถามจนเกือบเป็นตะคอก ก่อนได้คำตอบด้วยร่างแบบบางในชุดกระโปรงยาวสีขาวที่เดินก้มหน้าออกมา คนเป็นแม่รีบพุ่งไปหาพร้อมดึงมายืนเคียงจนเกือบเป็นกระชาก “ฝนมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ไหนบอกอยู่สมุย ตอบให้สบายใจหน่อยซิว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาหนูไม่ได้อยู่ที่นี่ใช่ไหม” ฝนแก้วเงยดวงตาแดงช้ำสบมารดาอย่างละอายใจ เพียงเห็นหน้าท่านน้ำตาก็พานจะไหลอีกระลอก แม้รสรินไม่ได้คำตอบจากปากแต่ภาษากายเฉลยให้ฟังจนสิ้นแล้ว “วีร์ทำแบบนี้ได้ยังไง ทำแบบนี้กับน้องได้ยังไง!” รสรินฟาดฝ่ามือใส่ต้นแขนชายหนุ่มไม่ยั้ง แต่คงสะใจไม่พอจึงเปลี่ยนกระเป๋าหนังจระเข้เป็นอาวุธ ร่างสูงก็นิ่งแสนนิ่งจนกลายเป็นว่าคนที่เจ็บแทนคือฝนแก้ว หญิงสาวห้ามปรามมารดากระทั่งกระเป๋าใบละล้านหยุดกลายร่างเป็นอาวุธ “พอเถอะค่ะ อย่าทำพี่วีร์เลยนะคะ” “มันเกิดอะไรขึ้นฮะฝนแก้ว! บอกความจริงแม่มา ตอบให้ชื่นใจหน่อยว่าวีร์ไม่ได้ทำอะไรหนูใช่ไหม” “ในห้องผมมีกล้องวงจรปิด อยากดูไหมว่าผมทำอะไรลูกสาวคุณบ้าง” คนที่เงียบสีหน้าแทบไม่สื่ออารมณ์เอ่ยขึ้น ฝนแก้วหันมองเขาหน้าตาตื่น ความกลัวปนอับอายแล่นพล่านในกระแสความคิดของฝนแก้ว รสรินช็อกจนแทบยืนไม่ไหวมองสลับบุตรชายของจารีย์และลูกสาวของตนที่หน้าซีดเผือด “วีร์...วีร์ไม่ได้ล่วงเกินน้องใช่ไหม” “ผมทำไปแล้ว ฝนแก้วอยู่ในสถานะนางบำเรอของผมตั้งแต่เจ็ดวันก่อน” เพียะ! ปรวีร์หน้าหันด้วยฝ่ามือที่ฟาดใส่เต็มแรง รสรินโกรธจนตัวสั่น ตาแดงฉานไม่ต่างจากใบหน้าที่อยู่ในสีเดียวกัน ฝนแก้วไม่รู้ต้องทำอย่างไร รู้แค่ว่าไม่อยากให้ทั้งสองมีปากเสียงกันไปมากกว่านี้ “พอเถอะค่ะคุณแม่ เรื่องนี้พี่วีร์ไม่ผิด ฝนผิดเอง ฝนเต็มใจมากับพี่วีร์...ฝนเต็มใจ” “เต็มใจเหรอ!” รสรินตวาดลูกสาวที่น้ำตานองหน้า ก่อนคิดได้ว่าฝนแก้วไม่ใช่คนที่ต้องลงโทษจึงหันไปเอาเรื่องตัวการ “วีร์แค้นป้า เกลียดป้า แต่เรื่องอะไรถึงเอาฝนแก้วมาเกี่ยว ยังมีสำนึกอยู่หรือเปล่าถึงทำลายน้องได้ลงคอ บอกแล้วไงว่าห้ามดึงฝนแก้วมาเกี่ยว สิ่งที่มันเกิดขึ้นล้วนเป็นความผิดของป้าคนเดียว” “ก็นี่ไงผลของการเป็นชู้กับผัวชาวบ้าน คุณทำแม่ผมเสียใจแบบไหนคุณก็ควรได้รับมันแบบนั้น แค่นี้ยังน้อยไป ผมยังไม่เห็นเลยว่าคุณเจ็บปวดแค่ไหน มันจะเทียบกันได้หรือเปล่ากับการทรยศที่คุณทำกับแม่ผม” รสรินเถียงไม่ออกได้แต่เข่นเขี้ยวมองปรวีร์ ฝนแก้วลุ้นอยู่ในใจขอให้แม่ปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องชู้ “ป้าขอโทษ รู้ดีว่าไม่มีอะไรชดเชยกับความผิดนี้ได้” รสรินคว้าแขนบุตรสาวก่อนเอ่ยต่อ “ป้าเจ็บและเสียใจมากที่ฝนโดนย่ำยีเป็นตัวแทนบาปของป้า ป้าคงไม่มีหน้าเรียกร้องอะไรจากวีร์หรอก ขอให้มันจบแค่ในห้องนี้อย่าทำให้น้องเสียหาย อย่าทำลายจนน้องไม่มีที่ยืนในสังคม ไม่ว่าคลิปหรือภาพอะไรของน้องก็ตามที่วีร์มีได้โปรดอย่าเก็บไว้เลย” ฝนแก้วกระจ่างแจ้ง ทุกอย่างได้รับการยืนยันแล้ว ที่ปรวีร์กล่าวหาว่ารสรินเป็นเมียน้อยคือความจริง! น้ำตายิ่งไหลเป็นสายในขณะปล่อยร่างกายไปตามแรงฉุดของมารดา ฝนแก้วไม่หันกลับไปมองปรวีร์อีก แม้เท้าเปลือยเปล่าไม่มีรองเท้าก็ไม่รู้สึกรู้สมอะไร ความผิดหวังเสียใจเทกระหน่ำซ้ำเติมจนฝนแก้วไม่มีจุดโฟกัสไหนที่ทำให้วอกแวกได้ เธอปิดปากเงียบตลอดทางที่นั่งอยู่เบาะหลังของรถ ไม่ว่ารสรินจะพ่นคำใดก็ล้วนลอยทะลุหูไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD