นิกษาเดินเข้าไปในห้องของผู้เป็นบิดา เนื่องจากเมื่อวานนี้กระทั่งเช้านี้เธอก็ยังไม่ได้ดูแลท่านเลย เมื่อเข้าไปภายในห้องพักของท่าน จึงเห็นว่าบิดาของเธอตื่นแล้ว และคนเฝ้าไข้ที่เธอจ้างเป็นพิเศษเมื่อวานนี้เพราะเล็งแล้วว่าตนเองอาจจะต้องกลับดึกก็กลับไปแล้วเนื่องจากเกินเวลาที่ได้ตกลงกันเอาไว้
นิกษาเดินเข้าไปทรุดลงข้างๆ เตียงของท่าน เธอเห็นดวงตาของ
ผู้เป็นบิดากลิ้งกลอกไปมาเพื่อพยายามมองดูเธอ ดวงตาคู่นั้นจับจ้องเธอด้วยความเป็นห่วง อาจจะเพราะเห็นว่าสภาพของเธอนั้นไม่ดีเอามากๆ จริงๆ และสายตาที่แสดงออกถึงความห่วงใยอย่างสุดหัวใจของผู้เป็นบิดาบุญธรรม ก็ทำให้นิกษาหมดสิ้นความอดทน เธอจับมือบิดาแน่นแล้วซบหน้าลงกับมือเหี่ยวย่นข้างนั้น ก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดังอย่างหมดสิ้นความอดทนอีกต่อไป
หญิงสาวร้องไห้อยู่นาน ร้องเพื่อระบายความเจ็บปวดทั้งหมด ร้องให้กับชะตากรรมอันเลวร้ายของตัวเอง โลกของเธอทำไมถึงได้โหดร้ายอย่างนี้ ทำไมเธอถึงต้องเป็นคนที่โชคร้าย หรือว่าเธอไม่สมควรที่จะเกิดมาบนโลกใบนี้ พระเจ้าคงอยากจะให้เธอรู้ว่าเธอไม่เหมาะที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปใช่ไหม ถึงได้ส่งบททดสอบอันแสนสาหัสเกินกว่าจะรับไหวเข้ามาภายในชีวิตของเธอ
ถ้าเพียงแต่ไม่มีบิดาที่ต้องดูแล...เธอคงไม่มีชีวิตจนถึงวินาทีนี้ เธอคงตายไปแล้วตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองโดนล่วงเกินแบบนั้น
อันที่จริงแล้วสภาพจิตใจเธอตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ...เธอไม่เหลือความภาคภูมิใดๆ ในชีวิตของตนเองอีกแล้ว...ไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว!
ทว่าถึงอย่างนั้นแม้จะต้องการการปลอบโยนจากใครสักคน ความ
เห็นใจจากใครสักคนมากเพียงใด แต่เธอกลับมิอาจปริปากบอกใครได้เลยแม้แต่น้อย และคนๆ เดียวที่เธอแน่ใจว่าต่อให้ตนเองทดท้อมากแค่ไหน แต่ท่านก็จะไม่มีวันเอาไปบอกใครได้ก็ทำให้เธอหมดสิ้นความอดทนที่จะเข้มแข็ง เผยความอ่อนแอของตนเองออกมา
“แด๊ด…”
“…”
“แด๊ดคะ...หนู...หนูขอโทษ ลูกสาวของแด๊ดคนนี้ขอโทษ...”
“ฮือ…”
เสียงเรียกชื่อเธอดังมาอย่างแผ่วเบาจากคนที่เป็นอัมพาต ซึ่งทำให้เขาได้แต่นอนนิ่งๆ บนเตียงและไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้นอกจากครางฮือในลำคอเท่านั้น และถึงอย่างนั้นแค่เพียงท่านส่งเสียงคล้ายกลับจะปลอบโยน มันก็ทำให้นิกษายิ่งร้องไห้หนักขึ้น
“หนูอยากจะ...อยากจะจับพวกนั้น แต่หนู...หนู...”
เธอพูดไม่ออก ได้แต่ร้องไห้อย่างน่าเวทนา ใจเธออยากจะวิ่งไปสถานีตำรวจแล้วแจ้งความจับพวกที่ทำร้ายเธอจนหมดสิ้นความเป็นคน ทว่าเธอกลับทำไม่ได้ เพราะรู้ดีว่าหากมีการสืบสาวราวเรื่องก็คงไม่พ้น
นาตาชาที่ทำร้ายเธอเช่นนี้
นาตาชา...คนในครอบครัวของเธอเอง!
และที่มากกว่าเห็นแก่นาตาชาก็คือเห็นแก่พีท...บิดาบุญธรรมที่คงจะหัวใจสลายถ้ารู้ว่านาตาชาทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปบ้างกับเธอ! นิกษาไม่อยากให้บิดาบุญธรรมเป็นกังวล จึงได้แต่ทนกล้ำกลืนความอัปยศเหล่านั้นแล้วปล่อยทุกคนที่เกี่ยวข้องไป
“นะ…”
“หนูรักแด๊ดนะคะ...” หญิงสาวซุกใบหน้าลงกับมือเหี่ยวย่น ไม่สนใจเสียงร้องเรียกความสนใจของพีทที่พยายามจะสื่อสารกับเธอ “แด๊ดไม่ต้องห่วงอะไรนะคะ หนูจะผ่านมันไปได้ หนูจะต้องผ่านไปได้ค่ะ”
“ฮึ…”
ตอนสุดท้ายเธอได้ยินเขาส่งเสียงดังขึ้น นิกษาเงยหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตามองใบหน้าซูบซีดของบิดา แล้วก็พบว่าดวงตาสีเทาซีดคู่นั้นกำลังเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา ซึ่งบางส่วนก็ไหลรินลงมาอย่างเงียบเชียบ
นิกษาอีกร้องไห้เสียงดังมากขึ้น เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับผู้เป็นบิดา เห็นความเจ็บปวด ความเสียใจ และความห่วงใยผสานไปกับความรักที่อยู่ในดวงตาของท่านเธอก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น
“แด๊ดไม่ต้องร้องไห้ หนูผิดเอง หนูไม่น่ามาพูดอะไรแบบนี้กับแด๊ดเลย”
“…”
“หนูจะเข้มแข็งนะคะ อย่าร้องไห้สิคะ ไม่เอา หนูขอโทษ...ขอโทษจริงๆ”
“…”
ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย ทว่ามีเพียงน้ำตาที่ยังคงรินไหล และดวงตาที่มองมาราวกับจะขอโทษเธอ
ขอโทษที่เป็นตัวถ่วง...ขอโทษที่ทำให้ลำบาก
ไม่เลย...มันไม่ได้ทำให้เธอลำบากเลย การคงอยู่ของท่านทำให้เธอมีกำลังใจสู้บนโลกอันโหดร้ายใบนี้ด้วยซ้ำ
เพราะมีท่าน...ที่รักและห่วงใยเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครต้องการ เธอมีทุกวันนี้ ลุกขึ้นสู้ได้ก็เพราะแด๊ดเพียงคนเดียวเท่านั้น...
ถ้าไม่มีท่าน...เธอคงตายไปแล้ว!
เพราะท่าน...ได้ช่วยชีวิตเด็กกำพร้าอย่างเธอไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน เธอถึงได้มีวันนี้! ฉะนั้นเธอจะตายตอนนี้แล้วทิ้งท่านไปไม่ได้
ทิ้งไม่ได้...
---------
ดาเรนรู้สึกว่าเมื่อคืนที่ผ่านมานี้เป็นค่ำคืนที่ดีสำหรับเขาคืนหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงคนนั้น... เธออ่อนหวาน น่ารัก แต่ก็เร่าร้อนและตอบสนองเขาในทุกๆ ความต้องการได้เป็นอย่างดี และที่ยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นวันดีๆ เพราะเธอคือผู้หญิงคนเดียวในรอบครึ่งปีที่ทำให้เขารู้สึกอยากได้เพียงแค่เห็นหน้า และเขาไม่คิดว่าไอ้ฟลินน์จะพาตัวเธอมาให้เขาได้
เขาเอง...เมื่อวานก็อดรู้สึกผิดกับเธอหน่อยๆ ไม่ได้ที่ไม่ค่อยได้
ทะนุถนอมเธอเลย เพราะเพื่อนสนิทตัวดีเล่นวางยาในไวน์ที่ส่งมาให้เป็นของขวัญ ถึงแม้เธอจะมีการตอบสนองที่เร่าร้อนไม่ต่างกัน หากปราการที่เขาได้ล่วงล้ำเข้าไปเป็นคนแรกก็ทำให้เขารับรู้ว่าเมื่อคืนนี้เขาเป็นคนแรกของเธอ
ดาเรนนึกถึงใบหน้าหวานๆ ของสาวเอเชียของเธอแล้วก็ให้หัวใจสั่นหวั่นไหว นานแล้วที่เขาไม่เคยนึกอยากได้ใครเท่านี้มาก่อน และเขาคงจะมีความสุขไปอีกนานเลยถ้ามีเธออยู่บนเตียง เธอคงจะทำให้เขาหายเบื่อ คลายเหงาไปได้อีกนาน และที่สำคัญเธอกับเขาต่างก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี
หลายครั้งที่เคยใช้บริการสาวๆ ที่เพื่อนสนิทหามาให้ แต่ไม่มีใครที่เขานึกอยากจะสานสัมพันธ์ต่อเหมือนกับผู้หญิงคนนี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่าเธอแตกต่าง แน่ล่ะว่าสำหรับสาวบริสุทธิ์แต่กลับมีท่าทีเร่าร้อนและกระตือรือร้นขนาดนั้น และเมื่อคิดแล้วก็คงมีเพียงคำตอบเดียว เธอคงไม่ต่างจากเขานั่นแหละ
เธอถูกวางยา...
และเขาคิดว่าเช้าวันนี้เขากับเธอคงมีเรื่องที่จะต้องพูดกันอีกยาว...
‘ปล่อยฉันนะคะ...ช่วยฉันเถอะ...นี่เป็นเรื่องผิดพลาด...ฉัน...’
เสียงหวานของเธอพร่ำอ้อนวอนเขาอยู่หลายต่อหลายครั้งในช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา ทว่ากลับขัดกับร่างกายที่ตอบสนองต่อสัมผัสของเขาเป็นอย่างดี และดาเรนก็มาไกลเกินกว่าจะปล่อยเธอไปอย่างที่เธอร้องขอ
แม้มันจะเป็นประโยคแรกและประโยคเดียวที่เธอพูดกับเขาก็ตาม! และมันก็อีกนาน...กว่าเขาจะยอมปล่อยเธอไปจริงๆ นั่นแหละ!
ชายหนุ่มวาดมือไปยังข้างๆ จำได้ว่าก่อนจะนอนยังมีร่างบางทอดกายนอนเคียงข้างกัน เขายังกอดเธอเอาไว้แนบอกก่อนที่จะหลับไป แต่แล้วสัมผัสที่ว่างเปล่าก็ทำให้เขาลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“เอ๊ะ! หายไปไหน!”
ชายหนุ่มผุดลุกขึ้น ก่อนจะใช้ฝ่ามือใหญ่ทาบลงบนหมอนที่ยังทิ้งรอยบุ๋มเอาไว้ บ่งบอกว่าเมื่อคืนไม่ใช่ความฝันของเขาเพียงลำพังว่ามีคนอยู่ข้างกาย และสภาพเตียงที่ยับยุ่งก็เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่เขาคิดไปเอง ทว่าความเย็นชื้นที่สัมผัสได้จากหมอนก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้คนที่นอนอยู่ข้างกายได้ลุกหายจากไปนานแล้ว
ชายหนุ่มลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจว่าตอนนี้ร่างกายของตนเองกำลังเปลือยเปล่า เขาไม่เสียเวลาแม้แต่จะหาเสื้อคลุมด้วยซ้ำในตอนที่วิ่งเข้าไปดูที่ห้องน้ำ แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า เขาวิ่งกลับมาที่เตียงกว้างอีกครั้ง กวาดตามองพื้นก็ค้นพบว่าบนพรมสีเข้มนั้นมีเพียงเสื้อผ้าของเขา...ไม่มีเสื้อผ้าของหญิงสาวคนเมื่อคืนแม้แต่ชิ้นเดียว!
ชายหนุ่มก้มหยิบเอากางเกงมาสวมลวกๆ ระหว่างนั้นเดินออกไปข้างนอกห้องนอน เปิดพรวดพราดออกไป กวาดตามองรอบห้องรับแขก แลเลยไปยังเคาน์เตอร์บาร์เล็กๆ ก็ไม่พบเงาของใครเลยสักคนเดียว!
ลางสังหรณ์ผุดวาบขึ้นมาในใจ เธอไปแล้วแน่ๆ ชายหนุ่มคิดอย่างร้อนรน ก้าวตรงไปยังโต๊ะกระจกที่ตั้งอยู่หน้าโซฟา ซึ่งเขาวางกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์มือถือแล้วรีบเปิดเครื่องโทร.หาเพื่อนสนิทของตนเองทันทีด้วยความรู้สึกร้อนใจ
ยิ่งผู้หญิงคนนั้นหายตัวไป...สิ่งที่เขาคิดไว้ก็ยิ่งตอกย้ำให้เห็นชัดเจนว่ามันคือความจริง
ไม่รู้ว่าฟลินน์ใช้วิธีไหนเอาตัวผู้หญิงคนนั้นมา...แต่นี่มันไม่ใช่สิ่งปกติที่เพื่อนของเขาทำอย่างแน่นอน!
รอไม่นานปลายสายก็กดรับ ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกไปด้วยซ้ำ น้ำเสียงรื่นเริงของฟลินน์ก็ดังขึ้นมาทันที
“ว่าไง...ขึ้นสวรรค์ไปกี่รอบเมื่อคืนนี้ นี่จะโทร.มาเยอะเย้ยฉันหรือยังไง”
“ไม่ใช่สิวะ!” ดาเรนตะคอกกลับไปทันที พออีกฝ่ายเงียบลง เขาจึงเอ่ยต่อไปอย่างเข้าเรื่องทันที “ผู้หญิงคนที่แกส่งมาเมื่อคืน...”
“ทำไม?” น้ำเสียงของฟลินน์มีความเครียดแฝงอยู่ อาจจะเพราะสัมผัสได้ว่าตอนนี้ดาเรนไม่มีอารมณ์จะล้อเล่น “มีปัญหาอะไร หรือว่าแกประมาทจนโดนปล้นหมดตัว?”
ประโยคคาดเดานั้นไม่วายกวนอารมณ์ ดาเรนเสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าแรงๆ อย่างหงุดหงิด สบถอย่างหยาบคายก่อนจะตำหนิปลายสายว่า
“ช่วยหุบปากแล้วฟังที่คนอื่นเขาจะพูดเสียบ้าง”
ฟลินน์หัวเราะหึๆ ในลำคอ แล้วตอบว่า
“โอเคๆ พูดไปสิ”