ลัลล์นลินมองสองหนุ่มที่ยืนประจันหน้ากันแล้วนึกหวั่นใจ คนหนึ่งเต็มไปด้วยท่าทีแข็งกร้าว สายตาเชือดเฉือนพร้อมจะเข่นฆ่า ส่วนอีกคนดูเอ้อระเหยลอยชาย ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อน แววตาขี้เล่นจ้องตอบอย่างท้าทาย จงใจยั่วยุอารมณ์อย่างเปิดเผย
รดิศละสายตามองมาที่เธอ แววตาก็วิบวับราวกับเจอสิ่งที่น่าทัศนามากกว่า เขาฉีกยิ้มกรุ้มกริ่มเผยให้เห็นลักยิ้มสองข้างมีเสน่ห์ เอ่ยชมเธอโต้งๆ ต่อหน้าคู่หมั้นหน้าดุของเธอว่า
“ไม่เจอกันหลายปี โตเป็นสาวสวยขึ้นเยอะเลยนะเรา”
ลัลล์นลินอยากจะเบ้ปากมองบนใส่เขานัก
นี่มันใช่เวลามาเล่นไหม?
รดิศไม่รู้รึไงว่า ‘ปาก’ เขาจะพลอยทำให้เธอ ‘ซวย’ ไปด้วย!
คิดปุ๊บ ก็สมพรความคิดปั๊บ หญิงสาวนิ่วหน้าอึดอัดช่วงเอวที่ถูกท่อนแขนเจษณะรัดแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออก บ่งบอกได้ถึงเพลิงโทสะที่ลุกโชนอยู่ในอกของเขา
“ไม่ได้บอกเหรอครับว่าหลินเป็นคู่หมั้นของผม คุณควรให้เกียรติเธอมากกว่านี้”
รดิศยักไหล่ราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญ
“ฉันกับหลินเป็นคนกันเอง เราสนิทกันมาก ไม่จำเป็นต้องสนใจเปลือกนอกพวกนั้นหรอก...จริงไหม”
ท้ายเสียงเขายังไม่วายหาเรื่องมาให้เธออีก แววตาที่มองเธอลึกซึ้ง จนเธอได้ยินเสียงกัดฟันของคนข้างกาย คราวนี้ลัลล์นลินรำคาญเลยกลอกตาใส่รดิศทีหนึ่ง
“เห็นรึยังว่าเราสนิทกันแค่ไหน” รดิศยิ้มร่า ไฟจะลุกท่วมไหม้ตัวเขาอยู่แล้ว เขายังจะมีแก่ใจเล่นสนุกอีก
“สนิทมากแค่ไหน ก็คงไม่เท่ากับคนที่เป็นคู่หมั้นหรอกครับ” เจษณะเค้นเสียงต่ำติดลบ
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ ต่อให้เป็นสามี แต่พอเลิกกันไปก็กลายเป็นคนอื่น นับประสาอะไรกับแค่คู่หมั้น มันจะเหมือนคนในครอบครัวเดียวกันได้ยังไงล่ะ ฉันกับหลินเป็นญาติกัน สายสัมพันธ์ของเราย่อมเหนียวแน่นมากกว่าคนอื่น” รดิศจงใจตอกหน้าเจษณะ
ตอนที่ลัลล์นลินอายุสิบห้า เป็นช่วงก่อนที่ครอบครัวเขาจะย้ายไปปักหลักทำธุรกิจในฝรั่งเศสจนใหญ่โต เขาเคยอาศัยอยู่ข้างคฤหาสน์สิรพลากร เจ้าสัวแรมผู้เป็นพ่อเขากับเจ้าสัวนพรักใคร่นับถือเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน สองครอบครัวจึงไปมาหาสู่และนับญาติกันโดยปริยาย
รดิศเป็นลูกหลงคนสุดท้องของเจ้าสัวแรม เขาจึงมีศักดิ์เป็นอาของเจษณะและลัลล์นลิน แม้เขาจะมีอายุไล่เลี่ยแก่กว่าเจษณะเพียงสามปี ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่เคยเคารพหรือมองเขาในฐานะที่สูงกว่าเลยสักนิด ผิดกับลัลล์นลินที่เขาแก่กว่าเธอถึงสิบเอ็ดปี เด็กสาวจึงมักเรียกเขาว่า ‘อาเล็กๆ’ จนติดปาก และกลายเป็นคู่อาหลานที่สนิทรู้ใจกัน ปรึกษาปัญหากันทุกเรื่อง
พวกเขาทั้งสามเป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กกัน รวมถึงอมลฉวีที่เป็นเพียงลูกสาวพ่อบ้านกับแม่ครัวด้วย รดิศจึงรู้เรื่องรักสามเส้าระหว่างพวกเขาดี รู้ว่าลัลล์นลินและอมลฉวีแอบมีใจให้เจษณะ เขาเป็นผู้ชายด้วยกันก็พอดูออกว่าเจ้าตัวชอบพอใคร
แต่พอเกิดอุบัติเหตุที่พรากขาทั้งสองข้างของอมลฉวีไป เจษณะก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ความสัมพันธ์ระหว่างสองสาวก็ไม่เหมือนเดิม
คนที่เคย ‘ใส่ใจ’ ก็กลับทำร้าย...
คนที่ ‘ไม่สนใจ’ ก็คอยดูแลอ่อนโยน...
ตอนที่เกิดเรื่องเขาไม่ได้อยู่กับลัลล์นลิน จึงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น...
แต่เขาไม่สนใจว่าความจริงเป็นเช่นไร?
ใครผิด ใครถูก
เพราะเขารู้ว่าอมลฉวีเป็นคนอย่างไร? และลัลล์นลินมีนิสัยอย่างไร?
รดิศไม่สนหรอกว่าเจษณะจะเชื่อหรือไม่เชื่อใคร มีเหตุผลอะไรที่ทำแบบนี้ แต่ถ้าเจษณะเลือกที่จะถือหางคนผิด แล้วทำร้ายหลานสาวที่เขาเอ็นดูละก็...
เขาจะไม่ยอมอยู่เฉยแน่!
ที่เขายอมกลับมาเมืองไทยคราวนี้ นอกจากคำขอร้องของบิดาที่คิดถึงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่แล้ว เขาเองก็อยากจะเห็นกับตาตัวเองว่า
เจษณะปฏิบัติต่อลัลล์นลินอย่างไร?
ตอนนี้เขาได้เห็นแล้ว...
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของลัลล์นลินไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย แววตาที่เคยสดใสดูหม่นหมอง เหมือนถูกบังคับให้เข้าพิธีหมั้นกับเจษณะโดยไม่เต็มใจ
ฝ่ายชายเองนอกจากเปลือกนอกที่ดูอ่อนโยนแล้ว ข้างในดูเหมือนจะไร้หัวใจ มีแต่ความเย็นชาเท่านั้น…
เขาไม่วางใจที่จะให้ลัลล์นลินแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่มีความรัก กลัวว่านอกจากจะต้องเสียใจแล้ว ยังอาจสูญเสียบริษัท SPK อินดัสตรีต่อไปในภายภาคหน้าด้วย
แน่นอนว่า... เขาไม่ยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาด
เขาจะขัดขวางเจษณะ!
รดิศจ้องตาเจษณะ เผยชัดให้เห็นถึงการตัดสินใจของเขา มุมปากหยักยกกระตุกยิ้มเจ้าชู้ เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดุดันขบกรามจนสันนูน มือกำแน่นพยายามข่มโทสะอย่างสุดกำลังไม่ให้สาวหมัดใส่เขา
คิดว่าเขากลัวรึไง?
ลัลล์นลินเหลือบมองเจษณะที่ตาลุกวาว แล้วแอบกลืนน้ำลาย สองหนุ่มที่เหมือนเสือกับสิงห์ต่างก็ไม่มีใครเกรงใคร ตั้งท่าจะห้ำหั่นกันให้ได้ ทำให้เธอกลัวใจพวกเขาจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงระรัว แผ่นหลังตั้งตรงตึงเครียด มือสองข้างชื้นเหงื่อ
กลัวเหลือเกินว่า… พวกเขาจะวางมวยกันเหมือนสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นเลือดร้อน!
ถ้าเป็นอย่างนั้นเธอคงไม่มีปัญญาห้ามปราม เพราะทั้งคู่ต่างก็ตัวโตสูงใหญ่กว่าเธอด้วยกันทั้งนั้น คงได้แต่ปล่อยให้พวกเขาตีกันกลางงานให้หนำใจ แล้วตกเป็นขี้ปากชาวบ้านพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งในวันรุ่งขึ้น
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน ลัลล์นลินไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของอมลฉวีควรจะทำให้เธอโล่งใจหรือเยาะเย้ยตัวเองดี...
หญิงสาวเปราะบางที่นั่งอยู่บนรถเข็นคลี่ยิ้มหวานให้เจษณะ ทำราวไม่เห็นเธอกับรดิศที่ยืนอยู่ด้วย ยิ่งไม่สนใจรังสีทะมึนและกลิ่นอายการต่อสู้ที่คละคลุ้งอยู่ในอากาศ
หล่อนยืดตัวอย่างผ่าเผย อวดผ้าชีฟองสีขาวเนื้อบางเบาที่ถูกออกแบบตัดเย็บเป็นชุดเดรสสีขาวบริสุทธิ์งดงาม ขับให้อมลฉวีดูอ่อนหวาน มีเสน่ห์สวยละมุนตาไปทั้งตัว ผมของหล่อนถูกมวยถักเป็นเปียคาดผม ประดับดอกไม้เล็กๆ และโบว์ที่ดูอย่างไรก็เหมือนผ้าคลุมผมเจ้าสาว ดูเผินๆ แล้วออราจับมากกว่าเธอที่เป็นคู่หมั้นของเจษณะเสียอีก ราวกับว่าอมลฉวีต่างหากที่เป็นเจ้าสาวตัวจริงในวันนี้ ไม่ใช่เธอ